ปรับเเผนไตรมาส 3 หยุดบินชั่วคราวตามมาตรการรัฐ พร้อมเสริมเเกร่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เเละธุรกิจขนส่งทางอากาศ บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (“AAV”) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บจ. ไทยแอร์เอเชีย (“TAA”) เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้รวม 1,081 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 1,692 ล้านบาท โดยหลักจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (“โควิด-19”) ที่รุนเเรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเเละสายการบิน ทั้งนี้ในไตรมาส 2 TAA มีจำนวนผู้โดยสาร 721,794 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 155 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากความต้องการเดินทางในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ และเป็นผลมาจากการหยุดให้บริการบินชั่วคราวในปีที่แล้ว ส่งผลให้มีอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ร้อยละ 61 เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ร้อยละ 52
กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 AAV ยังไม่สามารถเติบโตได้ตามเเผน โดยหลักมาจากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่รุนเเรงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้เราจะพยายามทุกวิถีทางในการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษากระเเสเงินสด รวมทั้งการจัดหาเเหล่งเงินทุนจากหลายช่องทาง ทั้งแผนการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างกิจการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ เเละเงินกู้ยืมเพื่อรักษาสภาพการจ้างงานพนักงานจากภาครัฐที่ยังไม่ได้ข้อสรุป “ในเดือนเมษายน 2564 เกิดการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่และสายพันธุ์ที่หลากหลาย ส่งผลต่อการดำเนินงานในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนอย่างชัดเจน ส่งผลให้สายการบินจึงจำเป็นต้องปรับลดและจัดการปริมาณเที่ยวบินอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องธุรกิจ ควบคู่กับการประคองผลประกอบการทั้งในระยะสั้นเเละระยะยาว” นายสันติสุขกล่าว
ทั้งนี้เมื่อสรุปผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,081 ล้านบาท ขาดทุนจำนวน 1,692 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิจำนวน 1,141 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563 โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานที่ต่ำซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดให้บริการบินชั่วคราวในเดือนเมษายน 2563 ส่วนรายได้ค่าระวางสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 682 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า 132 เที่ยวบินในไตรมาสนี้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง ทำให้ครึ่งปีเเรก AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,431 ล้านบาท และขาดทุนจำนวน 3,556 ล้านบาท โดยรายได้รวมลดลงร้อยละ 75 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงร้อยละ 65 และค่าโดยสารเฉลี่ยที่ลดลงร้อยละ 26 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องระงับเส้นทางบินระหว่างประเทศทั้งหมด ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง ตามนโยบายขอความร่วมมือให้พนักงานใช้สิทธิการลาโดยไม่รับค่าจ้างในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องก็ลดลงตามจำนวนเที่ยวบินเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับครึ่งหลังปี 2564 ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เราได้รับสัญญาณที่ดีจากนโยบายในการเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านทาง ภูเก็ต เเซนด์บอกซ์ ซึ่งทำให้เราปรับเพิ่มเที่ยวบินเข้าเเละออกภูเก็ต เเต่หลังจากนั้นสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยกลับมารุนแรงมากขึ้น และแผนการกระจายฉีดวัคซีนทั่วประเทศยังช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ประกาศให้ทุกสายการบินห้ามทำการบินเข้าเเละออกในพื้นที่ควบคุมสูงสุดเเละเข้มงวด สายการบินจึงต้องประกาศหยุดบินชั่วคราวทุกเส้นทางอีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พร้อมปรับแผนกลยุทธ์ในการประคองธุรกิจ เสริมด้วยโอกาสใหม่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ช เเละธุรกิจขนส่งทางอากาศ ที่เห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น
นายสันติสุขกล่าวว่า การที่กลุ่มเเอร์เอเชียได้เข้าซื้อกิจการของ Gojek ประเทศไทย และเริ่มเปิดให้บริการผ่าน airasia super app ถือเป็นการตอกย้ำว่าต่อจากนี้แอร์เอเชียจะไม่ใช่เเค่สายการบิน จะมีสินค้าบริการใหม่ๆ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สร้างระบบนิเวศธุรกิจต่อยอดได้หลากหลายมากขึ้น ผ่านแบรนด์แอร์เอเชียที่เเข็งเเกร่ง รวมทั้งการพัฒนาด้านการขนส่งทางอากาศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมีอนาคตที่ดีและสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับธุรกิจน่าพอใจ “โจทย์สำคัญที่สุดในครึ่งปีหลัง คือการสร้างวินัยทางการเงินเเละเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ พร้อมประเมินความเสี่ยงอยู่ตลอด ซึ่งเราเชื่อว่านโยบายระยะสั้นต่างๆ ที่เราออกไป จะช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นได้ดี อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเดินทางเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาทดเเทนได้ ช่วงเวลานี้ทุกคนต้องช่วยกันดูเเลตัวเอง เเละเมื่อโอกาสมาถึง จะมีความต้องการเดินทางจำนวนมาก ซึ่งไทยแอร์เอเชียก็พร้อมกลับมาเติบโตได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง” นายสันติสุขกล่าว