นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แพลตฟอร์มแห่งโอกาส ต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการและเกษตรกรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงขยายช่องทางการตลาด เพิ่มองค์ความรู้ ทักษะ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมอย่างหลากหลายมาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการและเกษตรกรทุกระดับ ยกระดับมาตรฐานสินค้า SME และสินค้าท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันในเวทีโลก ในปีที่ผ่านมา ทางโลตัสสามารถพัฒนาและเพิ่มคู่ค้ารายใหม่ที่เป็นผู้ประกอบการ SME มากถึง 724 ราย และเพิ่มสินค้า SME คุณภาพมากกว่า 1,125 รายการ รวมถึง SME ที่ผ่านเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพกว่า 1,600 ราย ลดค่าเช่าในศูนย์การค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 1,500 ราย ให้พื้นที่ฟรีแก่ SME 1,670 ราย อีกทั้งยังรับซื้อผลผลิตตรงจากเกษตรกร การจัดทำนโยบายข้อกำหนดสินเชื่อทางการค้า (Credit Term) เพื่อช่วยลดปัญหาสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการ
ในส่วนของทางซีพี ออลล์ มีนโยบายช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเกษตรกร ผ่านกลยุทธ์ “3 ให้” ได้แก่ ให้ช่องทางจำหน่าย (Channel) ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ ที่ ALL Online ให้ความรู้ (Knowledge Sharing) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านการอบรม สัมมนาต่างๆ และให้การเชื่อมโยงเครือข่าย (Networking) และได้ส่งเสริมผู้ประกอบการ SME เกือบ 1,000 ราย มีสินค้าเอสเอ็มอี เช่น ผัก ผลไม้ อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และของใช้ต่างๆ ที่จำหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ (7 Delivery) และ ออลล์ ออนไลน์ (ALL Online) กว่า 4,000 รายการ สำหรับทางแม็คโคร ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจกว่า 32 ปี ได้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ผลิตรายย่อยมากกว่า 2,000 ราย และเกษตรกร กว่า 17,500 ครัวเรือน ผ่านการพัฒนา เพื่อยกระดับสินค้า และสนับสนุนการกระจายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ ทุกสาขา รวมถึงช่องทางออนไลน์ เป็นปริมาณถึงกว่า 204,000 ตัน ในปี 2564 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ แม็คโครยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียกระดับสู่ภูมิภาค ด้วยการต่อยอด ส่งออกสินค้าจากผู้ผลิตรายย่อยของไทย เกือบ 200 รายการ สู่สาขาในต่างประเทศ ที่สำคัญแม็คโครยังยึดมั่นในการเป็นคู่คิดธุรกิจ ของผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยและโชห่วย กว่า 700,000 ราย ผ่านโครงการ “แม็คโคร มิตรแท้โชห่วย” และ MHA “คู่คิดธุรกิจร้านอาหาร” อีกด้วย
และจากความสำเร็จที่ 3 ธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพี ประกอบด้วย เซเว่น อีเลฟเว่น แม็คโคร และโลตัส ได้ร่วมมือกันเปิดเวทีจับคู่ธุรกิจ “SME Online Business Matching ครั้งที่ 1” เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจำนวน 110 รายนั้น ทางเครือซีพีจึงได้สานต่อโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส โดย SME Online Business Matching ครั้งที่ 2 นี้ ธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพีทั้งสามแบรนด์ได้ขยายความร่วมมือไปยัง “สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยทั่วประเทศ สามารถนำเสนอสินค้าทุกประเภททั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค เพื่อจัดจำหน่ายใน เซเว่น อีเลฟเว่น แม็คโคร และโลตัส รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ในเครือข่ายของเครือซีพีเพิ่มขึ้น
“เครือซีพี ประสบความสำเร็จอย่างมากในการนำแพลตฟอร์มแห่งโอกาส หรือ Platform of Opportunities เข้ามาช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพี จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น พร้อมเตรียมวางจำหน่ายในเซนเว่นอีเลฟเว่น, แม็คโคร และโลตัส ทั่วประเทศเร็วๆ นี้ การจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งที่ 2 นี้ได้รับการสนับสนุนจาก สสว. อย่างเต็มที่ เพื่อให้โครงการฯ เข้าถึงกลุ่มผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างมาก และสำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเข้าเจรจาธุรกิจ สสว. และซีพีจะจัดอบรมหลักสูตรความรู้ในการพัฒนาคุณภาพต่อไป
ด้าน นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ดำเนินนโยบายและมาตรการการให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในประเด็นต่างๆ ที่มีความหลากหลายและครอบคลุม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000,000 รายทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างช่องทางในการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการสร้างผลประกอบการและการขยายธุรกิจให้มีการเติบโตแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยล่าสุดร่วมมือกับเครือซีพี ภายใต้โครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส เปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SMEs เพื่อคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ Online Business Matching ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคม 2565 ผ่าน Link https://bit.ly/3lA4bTj
“การดำเนินกิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นการเปิดสู่โอกาสครั้งสำคัญของผู้ประกอบการฯ ในการเจรจาธุรกิจกับธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพี รวมทั้งจะได้รับองค์ความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพสินค้า ขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งต่อผลประกอบการที่สูงขึ้น สร้างการเติบโต และเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โดยจะเกิดผลกระทบที่สำคัญ คือผลประโยชน์ต่อประเทศ เพราะธุรกิจเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการผลิตและมีการจ้างงานคนในชุมชน จึงเป็นรากฐานและกลไกสำคัญต่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความยั่งยืนและมั่นคง” ผอ.สสว. ระบุ
ขณะที่ นายคณาธิป แพ่งศรีสาร ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัท ชุมแพพืชผล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำจิ้มชาบู ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้เข้าร่วมในการจับคู่ธุรกิจครั้งแรกผ่านโครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส กล่าวว่า บริษัทได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับแม็คโครและโลตัส โดยจะเริ่มนำผลิตภัณฑ์น้ำจิ้มชาบู ซึ่งผ่านการปรับปรุงคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และฉลากสินค้า ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และชุดข้อมูลความรู้ในโครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส โดยวางจำหน่าย ณ ห้างแม็คโครและโลตัสจำนวน 220 สาขาทั่วประเทศ จึงต้องเพิ่มกำลังการผลิต 4-5 เท่าจากปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น และในอนาคตยังสามารถต่อยอดทางธุรกิจไปยังร้านค้าปลีกในเครือซีพีอื่นๆเพิ่มขึ้นด้วย โครงการนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญของเอสเอ็มอีตัวเล็กๆ เพราะช่วยสร้างการเติบโตธุรกิจอย่างมั่นคง แข็งแรง เพราะมีทีมงานคุณภาพมาแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป หากผู้ประกอบการรายย่อยท่านใดที่สนใจและมีคุณสมบัติ เป็น SME ตามหลักเกณฑ์ของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. หรือเป็นเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน พร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนา มีนวัตกรรมและความแตกต่างที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและมีกำลังการผลิตที่เพียงพอต่อการจัดส่งให้โมเดิร์นเทรด คลิกและสแกน เพื่อเข้าร่วม กิจกรรมได้ที่ https://bit.ly/3lA4bTj หรือสแกน QR จากสื่อประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 12 กรกฎาคม 2565 เท่านั้น
Post Views: 240