คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาเรื่อง “ทิศทางและโอกาสของอุตสาหกรรมวั สดุก่อสร้างไทย และนวัตกรรมการออกแบบและก่อสร้ างอาคารยุคใหม่” เพื่อพัฒนาขี ดความสามารถในการแข่งขันให้กั บอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวั ตกรรมใหม่ ณ อาคาร O-NES TOWER สุขุมวิทซอย 6
นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงงานสัมมนาครั้งนี้ว่ามี เป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริ มและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่ งขันให้กับอุตสาหกรรมวัสดุก่ อสร้างตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ผ่านความร่วมมือกับทั้งหน่ วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ ยนองค์ความรู้เกี่ยวกั บเทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวโน้มอุตสาหกรรมวัสดุก่ อสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุ ตสาหกรรม
“คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างของ ส.อ.ท. จะช่วยส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมวั สดุก่อสร้าง ผ่านการเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมใหม่ เพื่อเป็นแนวคิดการออกแบบใหม่ สำหรับผู้ออกแบบไทย โดยจะคำนึงถึงการออกแบบที่เป็ นระบบอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล และคำนึงถึงการประกอบติดตั้งที่ มีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยี Building Information Modeling ผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อสร้ างการเชื่อมโยงในตั วออกแบบและโครงสร้าง ซึ่งไม่เพียงเพิ่มประสิทธิ ภาพของการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหาขยะที่เกิ ดจากการก่อสร้าง และการใช้พลังงานสิ้นเปลือง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิ ดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
“นอกจากนี้ คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างของ ส.อ.ท. ยังสะท้อนแนวโน้มอุตสาหกรรมวั สดุก่อสร้างที่เป็นประโยชน์ต่ อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มี ส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิ จในประเทศ ด้วยสัดส่วนเฉลี่ย 8.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งมีผลต่อการจ้างงานและมี ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่ อเนื่องเป็นวงกว้าง โดยภาพรวมอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้ างของไทยในปัจจุบันถือว่ายั งคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปี พ.ศ.2566-2567 นี้ คาดการณ์ว่าจะเติบโตตามมูลค่ าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่ คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4.5-5.5% ต่อปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลั กมาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่ องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิ เศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ขณะที่การลงทุนก่อสร้ างภาคเอกชนทั้งโครงการที่อยู่ อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่ อการพาณิชย์ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามกำลังซื้ อที่น่าจะปรับตัวดีขึ้ นตามภาวะเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้ นฐานที่คืบหน้ามากขึ้น” นายวิกรม กล่าวเสริม
ด้านนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่ างคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ส.อ.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาครั ฐและภาคเอกชนตระหนักถึงความสำคั ญของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ มีความเกี่ยวเนื่องกับผู้ ประกอบการในหลายธุรกิจ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องติ ดตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอุ ตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด รวมถึงความท้าทายของอุ ตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “สำหรับทิศทางธุรกิจของผู้ผลิ ตวัสดุก่อสร้างและผู้รับเหมาก่ อสร้างไทย เป็นเรื่องสำคัญของผู้ ประกอบการรวมถึงผู้ที่สนใจในอุ ตสาหกรรมก่อสร้างควรรับทราบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ วางแผนสำหรับการประกอบธุรกิจอย่ างมีคุณภาพ รวมทั้งปรับตัวอย่างทันท่วงทีต่ อสถานการณ์ที่ในปัจจุบันมี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในระดับประเทศไทยและระดับภู มิภาค” “นอกเหนือจากความท้าทายจากปัจจั ยทางด้านเศรษฐกิจทั้งภายในและต่ างประเทศ ผู้ประกอบการจะต้องเตรี ยมความพร้อมกับมาตรการการค้ าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกั บสิ่งแวดล้อม อาทิ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้ าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่จะส่งผลต่อการผลิตและการพั ฒนาวัสดุให้สอดคล้องกับมาตรการ อีกทั้งยังต้องประสบกับความต้ องการของลูกค้าทั้งในตลาดภาครั ฐและภาคเอกชนที่จะเน้นการก่อสร้ าง และโครงสร้างอาคารที่จะมุ่งสู่ Green Building ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ ประกอบการจะต้องปรับตัวร่วมกั นตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ตั้งแต่นักอุตสาหกรรม นักออกแบบ และผู้รับเหมา” นายวิวรรธน์ กล่าวเสริม
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่ อนคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของกลุ่ มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ ผลิต 13 กลุ่ม อาทิ แก้วและกระจก แกรนิตและหินอ่อน เคมี เซรามิก เทคโนโลยีชีวภาพ ปูนซีเมนต์ พลาสติก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม้อัดไม้บางและวัสดุแผ่น โรงเลื่อยและโรงอบไม้ เหล็ก หลังคาและอุปกรณ์ อะลูมิเนียม เป็นต้น รวมทั้งยังมีสภาอุตสาหกรรมจั งหวัด 5 ภูมิภาค และมีการบูรณาการร่วมกันอย่ างครอบคลุมและรอบด้าน ทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและในเชิ งพื้นที่ โดย ส.อ.ท. มีนโยบาย One FTI ที่จะมุ่งเน้นอุตสาหกรรมแห่ งอนาคต (Next-GEN Industries) ในโครงการส่งเสริมอุ ตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ หรือ SAI (Smart Agricultural Industry) หรือโครงการความร่วมมือกับสภาอุ ตสาหกรรมจังหวัดที่ต้ องการยกระดับพื้นที่สู่ Smart City จากการดำเนินโครงการดังกล่าว จึงจะต้องอาศัยความร่วมมื อจากคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง เพื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตทั้ งระบบให้ยั่งยืน