บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) TCAP เปิดเผยผลประกอบการปี 2566 โดยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในปี 2566 จำนวน 7,207 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 6,603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.5% จากปีก่อน
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP เปิดเผยว่า “ในภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบางอยู่ก็ตาม โดยผลการดำเนินงานมาจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม และเงินลงทุนที่ใช้ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ประกอบกับเงินลงทุนที่ใช้ในการขยายสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Asset-based Financing) TCAP มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ ตามงบการเงินรวมจำนวน 6,603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.5% จากปีก่อน โดยธุรกิจการเงินในภาพรวมเติบโตได้ดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์ ได้รับผลกระทบจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงตามภาวะการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีกำไรในระดับที่น่าพอใจจากธุรกิจหลักทรัพย์ในส่วนอื่น ๆ ตามนโยบายการกระจายธุรกิจไม่พึ่งพิงเฉพาะธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว ในขณะที่ธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่งได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึง และปัญหาราคารถยึด แต่ยังคงมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง สำหรับ ธุรกิจประกัน สามารถเติบโตเบี้ยประกันภัยรับได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน ที่สามารถขยายสินเชื่อได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้
นายสมเจตน์ กล่าวเสริมว่า “ในปี 2566 ที่ผ่านมา TCAP ได้ดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ ทั้งการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ความมั่นคง และผลประกอบการของบริษัท รวมทั้งการกำกับดูแลให้บริษัทในกลุ่มเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพตามเป้าหมายทางธุรกิจ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับกลยุทธ์ในปี 2567 TCAP จะยังคงเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม โดยยังดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้วในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายสำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 3.20 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 3.10 บาท