บริษัท เวียตเจ็ท เอวิเอชั่น จอยท์ สต๊อค (HoSE: VJC) ผู้บริหารสายการบินเวียตเจ็ท (ประเทศเวียดนาม) เผยรายงานงบการเงินประจำไตรมาส 3 ปี 2565 เน้นย้ำเวียตเจ็ทในฐานะผู้นำฟื้นตลาดการบินของเวียดนาม รวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยวขาเข้า ด้วยจำนวนผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศที่เติบโตเป็นอันดับต้น ๆ ไตรมาส 3/2565 สายการบินเวียตเจ็ทให้บริการเที่ยวบินกว่า 35,000 เที่ยวบิน ขนส่งผู้โดยสารกว่า 6.4 ล้านคน โดยจำนวนผู้โดยสารบนเที่ยวบินภายในประเทศโตขึ้น 36% และจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้น 44% ขณะที่จำนวนผู้โดยสารบนเที่ยวบินระหว่างประเทศยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยพุ่งแตะที่ 25% ของช่วงก่อนการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 พร้อมกันนี้ จำนวนสินค้าทางอากาศที่ขนส่งในไตรมาส 3 อยู่ที่ 11,500 ตัน เวียตเจ็ทเปิดให้บริการเส้นทางระหว่างประเทศเส้นทางใหม่กว่า 10 เส้นทาง โดยมุ่งให้ความสำคัญกับตลาดอินเดีย ให้บริการผู้โดยสารจากภูมิภาคตะวันตกและกลางตอนใต้สู่หลากหลายเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเวียดนาม ได้แก่ ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ ดานัง และฟู้โกว๊ก โดย ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 เวียตเจ็ทมีเส้นทางบินให้บริการทั้งหมด 84 เส้นทาง แบ่งเป็นเส้นทางภายในประเทศ 49 เส้นทาง และเส้นทางระหว่างประเทศ 35 เส้นทาง ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จำนวนเที่ยวบินที่เวียตเจ็ทให้บริการทะลุ 87,700 เที่ยวบิน ขณะที่จำนวนผู้โดยสารรวมทั้งหมดเกิน 15.4 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 150% และ 225% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
เวียตเจ็ทรายงานรายได้ไตรมาส 3/2565 ที่ 10,256 พันล้านดอง (เฉพาะธุรกิจ) (ประมาณ 15.6 พันล้านบาท) และ 11,600 พันล้านดอง (รวม) (ประมาณ 17.6 พันล้านดอง) เพิ่มขึ้น 652% และ 337% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เวียตเจ็ทได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วถึง 85% ของแผนรายได้ทั้งหมด ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565 เวียตเจ็ทมีสินทรัพย์รวม 67,470 พันล้านดอง (ประมาณ 1.02 แสนล้านบาท) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.1 ซึ่งถือเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีในอุตสาหกรรมการบิน สำหรับธุรกิจขนส่งทางอากาศ เวียตเจ็ทขาดทุนหลังหักภาษีจำนวน 767 พันล้านดอง (เฉพาะธุรกิจ) (ประมาณ 1.16 พันล้านบาท) และกำไรหลังหักภาษี 43 พันล้านดอง (รวม) (ประมาณ 65.3 ล้านบาท) การขาดทุนในการขนส่งทางอากาศลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2563 และปี 2654 อย่างไรก็ตาม ราคาเชื้อเพลิงอากาศยานที่พุ่งสูงขึ้น โดยมีราคาเฉลี่ยที่ 130 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ย 80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในปี 2562 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของสายการบิน แม้ว่าธุรกิจขนส่งทางอากาศในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน แต่สายการบินได้จ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมทางตรงและทางอ้อมให้แก่รัฐมากถึง 3,048 พันล้านดอง (ประมาณ 4.65 พันล้านบาท) ทั้งนี้ เวียตเจ็ทยังคงให้ความสำคัญกับโปรโมชั่นโดยเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศเพื่อดึงดูดผู้โดยสารในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและวันตรุษจีน พร้อม ๆ กับการเตรียมความพร้อมสำหรับปี 2566
เวียตเจ็ทเป็นหนึ่งในสายการบินที่เป็นผู้นำในการฟื้นตัวของสายการบินทั่วโลก ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ที่สูงถึง 150% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565
การดำเนินการขนส่งทางอากาศขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ อาทิ โรคระบาดและราคาเชื้อเพลิง ในการตอบสนองต่อปัจจัยเหล่านั้น เวียตเจ็ทได้มุ่งสู่กลยุทธ์หลายภาคส่วนนอกเหนือจากการขนส่งทางอากาศเพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่แห่งการพัฒนา โดยกำไรรวมของเวียตเจ็ทมาจากการค้าการเงินอากาศยานพาณิชย์ อันเป็นผลจากคำสั่งซื้ออากาศยานกับกับแอร์บัสและโบอิ้ง ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนอุปทานในตลาดเครื่องบินทั่วโลก นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังมีรายได้จากการลงทุนในโครงการธุรกิจและบริการอื่น ๆ ด้วย เวียตเจ็ทยังคงปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าเป็นสำคัญ รวมทั้งการส่งเสริมและกระจายรายได้จากบริการเสริม ซึ่งบริการชำระเงินด้วย e-wallet ที่พัฒนาโดยเวียตเจ็ทได้รายงานรายได้ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3/2565 พร้อมกันนี้ บริษัทย่อยที่ให้บริการเกี่ยวกับบริการภาคพื้นดินมีรายได้และกำไรเป็นบวก ขณะที่รายได้จากธุรกิจฝึกอบรมนักบินและบุคลากรด้านการบินเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปีก่อนหน้า
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เวียตเจ็ทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการการเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดต่างประเทศ เวียตเจ็ทเอาชนะโรคไวรัสโควิด-19 ได้ในเชิงรุกและด้วยความยืดหยุ่น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในเวียดนาม สายการบินไม่สามารถรับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐได้มากเท่ากับในประเทศที่พัฒนาแล้ว เวียตเจ็ทจึงได้ขยายกิจกรรมทางธุรกิจในเชิงรุก เสริมความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น นักลงทุน พันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เวียตเจ็ทจะอำนวยความสะดวกด้านทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดสำหรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในราคาที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและการค้าในขณะที่ตอบสนองความต้องการการเดินทางของประชาชน