หูดข้าวสุกเป็นโรคที่สามารถพบได้ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก และเป็นโรคที่สามารถหายเองได้ แต่ถ้าเกิดกับเจ้าตัวเล็กแล้วก็สร้างความรำคาญได้ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังติดต่อได้ง่ายหากไม่มีการป้องกันให้ดี พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจและดูแลเจ้าตัวเล็กให้ถูกวิธีและถูกสุขอนามัย
พญ.ลิลรฎา อนันตรัมพร กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ตัวโรคมีชื่อเรียกว่า Molluscum Contagiosum หูดข้าวสุก เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูล Molluscipox Genus มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 3 – 12 สัปดาห์ ติดต่อได้จากคนสู่คน ผ่านการสัมผัสโดยตรงระหว่างผิวหนังกับผิวหนัง รวมทั้งการใช้สิ่งของต่าง ๆ ร่วมกันอย่างผ้าเช็ดตัว เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย พบมากในเด็กอายุ 1 – 10 ปี สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาแต่ใช้เวลานานหลายเดือน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละบุคคล
โดยหูดข้าวสุกจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนรูปครึ่งวงกลม หรือตุ่มนูนมีสีเนื้อหรือสีขาวขุ่น ค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบมัน อาจมีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่ม ถ้าสะกิดและกดตุ่มออกจะได้เนื้อสีขาวขุ่นคล้ายข้าวสุก ตุ่มอาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเรียงกันเป็นแนวยาว เจ้าตัวเล็กสามารถติดได้ง่ายถ้าไม่มีการป้องกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรงเฉพาะ เพราะสามารถหายได้เองแต่ใช้เวลาหลายเดือน ซึ่งทางเลือกการรักษาช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรค ได้แก่ การจี้ด้วยความเย็น ใช้ไนโตรเจนเหลวที่เย็นจัด ทำให้เกิดวงน้ำแข็งรอบตุ่มเพื่อทำลายหูด อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง หรือใช้อุปกรณ์ปลายแหลมบ่งตุ่มโรคหูดข้าวสุกและกดออก (Molluscum Extraction) หรือใช้ยาทาเพื่อทำลายเซลล์ติดเชื้อ และข้อควรระวัง คือห้ามแคะ แกะ เกา ตุ่ม เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจพบตุ่มขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมากได้ การป้องป้องกันที่ดีที่สุด คือ ควรล้างมือให้บ่อย ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เลี่ยงการใช้ของสาธารณะที่สัมผัสผิวหนังโดยตรง และห้ามสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยเด็ดขาด
การดูแลรักษาหูดข้าวสุกจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์เท่านั้น เพื่อช่วยป้องกันเจ้าตัวเล็กติดเชื้อจากโรคแทรกซ้อนและหายจากโรคได้โดยเร็ว สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.02-310-3006 02-755-1006 หรือโทร.1719 แอดไลน์ @bangkokhospital
Post Views: 194