กระทรวงสาธารณสุข ประชุมแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ 14 จังหวัดภาคใต้ ย้ำ VUCA มาตรการสำคัญป้องกันโควิด 19 ทุกสายพันธุ์ คาดว่าจะฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนได้ครบ 100 ล้านโดส 20 ธันวาคม 2564 ตั้งเป้าเข็มบูสเตอร์อย่างน้อย 23 ล้านราย ภายในมีนาคม 2565 วานนี้ (13 ธันวาคม 2564) ที่โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ และรองรับการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ภาคใต้ ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมในการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งในรูปแบบออนไซต์ 200 คนและออนไลน์ 100 คน อาทิ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทั้งภาครัฐและเอกชน หน่วยงานในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ตลอดจนผู้แทนภาคธุรกิจเอกชน
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า เกือบ 2 ปีแล้วสำหรับการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทุกวันนี้รู้จักโรคดีขึ้น อีกทั้งฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วกว่า 97.4 ล้านโดส สำหรับสายพันธุ์โอมิครอนก็ยังต้องเฝ้าระวัง แต่คิดว่าไม่น่าจะมีสถานการณ์ที่รุนแรงกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดประเทศแล้วก็ต้องยึดหลัก VUCA เป็นมาตรการสำคัญ ที่ผ่านมาพบว่าการแพร่เชื้อต่ำกว่าการคาดหมาย อีกไม่นานน่าจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 3,000 คนต่อวัน โดยต้องดำเนินงานควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างปลอดภัย
นายแพทย์โอภาส กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ระดับพื้นที่ว่า แม้ว่าภาพรวมของ ผู้ติดเชื้อทั่วประเทศมีแนวโน้มลดลง แต่ในภาคใต้ยังมีคลัสเตอร์ย่อยอยู่มาก การได้รับวัคซีนเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตได้ จึงต้องเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามารับวัคซีนให้ครอบคลุมที่สุด คาดว่าจะครบ 100 ล้านโดสภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ยังได้วางแนวทางใหม่ในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ห่างจากเข็มที่ 2 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ประมาณการผู้ได้รับเข็มบูสเตอร์หรือเข็มที่ 3 อย่างน้อย 23 ล้านราย ภายในมีนาคม 2565 เพื่อให้ภูมิคุ้มกันมีมากขึ้น
“สำหรับเป้าหมายการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในปี 2565 ประชากรทุกคนต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 80 สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฉีดสามารถ Walk-in ได้ตามสถานพยาบาลที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานครกำหนดไว้ ส่วนกลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี กำลังรอการพิจารณา เพื่อรับวัคซีนได้ตามความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง ให้เด็กอนุบาลและชั้นประถมศึกษาได้เตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเทอม” นายแพทย์โอภาส กล่าว