SCGP โชว์ผลงาน 9 เดือน เติบโตอย่างมีคุณภาพ ทำกำไรสุทธิ 4,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 และมีรายได้จากการขาย 69,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง การควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) และมีฐานลูกค้าจำนวนมากและหลากหลายอุตสาหกรรมช่วยกระจายความเสี่ยง พร้อมวางแผนขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานใน 9 เดือนของปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 69,190 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเติบโตร้อยละ 5 กำไรสุทธิ 4,971 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 22 เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากความสามารถในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีปัจจัยเกื้อหนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของความต้องการใช้สินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดีใน 9 เดือนผ่านมาคือ บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค บรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซ และบรรจุภัณฑ์สำหรับฟู้ดเดลิเวอรี่ ในขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีการฟื้นตัวในไตรมาสสาม หลังจากได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าคงทนที่มีมูลค่าสูงในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงความต้องการบรรจุภัณฑ์ในประเทศเวียดนามที่เติบโตขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และจากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการควบรวมกิจการกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ในประเทศไทยที่ทำให้ SCGP มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
SCGP ได้ออกแบบและดำเนินงานตามโมเดลธุรกิจ (Business Model) ที่แข็งแกร่ง โดยมีสินค้าและบริการที่หลากหลาย และมีความสามารถด้านการผลิตที่ครอบคลุมทั้งบรรจุภัณฑ์ขั้นต้น (Upstream) และบรรจุภัณฑ์ขั้นปลาย (Downstream) จึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง SCGP ยังมุ่งเน้นการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและมีความต้องการใช้อย่างสม่ำเสมอในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มดังกล่าวประมาณร้อยละ 70 ของยอดขายในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) พร้อมกับการเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการหรือ Merger and Partnership (M&P) เพื่อขยายการเติบโต รองรับการบริโภคและเมกะเทรนด์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนการบริหารจัดการธุรกิจภายใต้แผน Business Continuity Plan และบริหารกระแสเงินสดอย่างระมัดระวัง จึงทำให้ SCGP ยังคงเติบโตและสามารถรับมือกับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้
“ผลการดำเนินงานที่เติบโตท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนว่าเราเดินมาถูกทาง สามารถเติบโตอย่างมีคุณภาพหรือ Growth with Quality และบริษัทฯ จะมุ่งขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจรในภูมิภาคนี้” นายวิชาญกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวต่อว่า หลังจาก SCGP ได้ระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้วางแผนขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายการลงทุนและการ ควบรวมกิจการ ปัจจุบันโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ในประเทศเวียดนาม ได้เริ่มเปิดดำเนินการแล้ว และมีอีก 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างด้วยงบลงทุนรวมกว่า 7,700 ล้านบาท จะทยอยแล้วเสร็จในปี 2564 ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) ในประเทศอินโดนีเซีย โครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) ในประเทศฟิลิปปินส์ และโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ในประเทศไทย
สำหรับความคืบหน้าของการควบรวมกิจการ (M&P) กับ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ (SOVI) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก (Corrugated Containers) รายใหญ่ในประเทศเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โฮจิมินห์ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบสินค้าคงคลังรอบสุดท้าย คาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการเข้าลงทุนนี้จะส่งผลให้ SCGP มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำจากเยื่อและกระดาษในเวียดนามเพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการเพิ่มศักยภาพขยายตลาดบรรจุภัณฑ์ เนื่องจาก SOVI มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่และบริษัทชั้นนำในประเทศ
“การควบรวมกิจการเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและเพิ่มขีดความสามารถการผลิตบรรจุภัณฑ์ขั้นปลาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรทั้งในอาเซียน” นายวิชาญกล่าว