กรุงเทพฯ : SABINA เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 รายได้รวม 781.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 100.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 81.7% ด้านผลประกอบการงวด 9 เดือนของปีนี้ เติบโตทั้งรายได้รวมและกำไรสุทธิ โดยรายได้รวมอยู่ที่ 2,351.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิอยู่ที่ 311.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.6% ระบุปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ทำให้กำลังซื้อกลับมาคึกคัก ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้น ขณะที่กิจกรรมการตลาด ทั้งมหกรรมช็อปปิ้ง 9.9 หนุนรายได้ช่องทางออนไลน์โต เช่นเดียวกับช่องทางรีเทลที่ประชาชนกลับมาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น รวมถึงช่องทาง OEM จากคำสั่งซื้อของลูกค้าในต่างประเทศ ขณะที่การควบคุมต้นทุนยังมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ อยู่ที่ 48.0% ลุ้นบรรยากาศไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ ช่วยดันรายได้ทุบสถิติสูงสุดเมื่อปี 2562 ที่ 3,295 ล้านบาท ก่อนวิกฤติโควิด-19
นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) และงวด 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ของปีนี้ ยังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้รวมและกำไรสุทธิปีนี้เติบโตมากกว่างวดเดียวกันของปีก่อน (YoY) มาจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมถึงเมกะแคมเปญช้อปปิ้ง 9.9 ในเดือนกันยายน ที่สินค้า SABINA มียอดขายสูงสุดในกลุ่มสินค้าแฟชั่นทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ บริษัทฯ ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM : Gross Profit Margin) ไว้ได้ที่ระดับ 48.0% ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งในการทำกำไรของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 รายได้ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตในทุกช่องทาง โดยในช่องทางค้าปลีก (Retail) เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2564 คิดเป็น 38.1% ช่องทางออนไลน์ (Non-Store Retailing) เติบโต 9.6% ขณะที่ช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) เติบโต 14.0% ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทแตะระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้จนถึงปี 2566 ทำให้รายรับสกุลเงินต่างประเทศจากการรับจ้างผลิตปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด โดยมีการปรับแผนกลยุทธ์ในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งในแง่มุมการนำเข้าและส่งออกให้เกิดความสมดุล และเกิดผลเชิงบวกกับบริษัทฯ มากที่สุด
“ยอดขายของ SABINA กลับมาเติบโตได้ทุกช่องทาง โดยเราเชื่อว่า ในปีนี้แต่ละช่องทางขายจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะทำให้มีแรงส่งในไตรมาสสุดท้ายของปี และทำให้เป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่เราพยายามจะทำให้กลับไปยืนที่จุดสูงสุดเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ระดับ 3,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้ในปี 2564 ประมาณ 20% นั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากๆ ซึ่งต้องลุ้นว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ที่มีเมกะแคมเปญช้อปปิ้ง 11.11 วันคนโสด ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ที่สุดของปี เราจะทำยอดขายได้เท่าไหร่ รวมถึงลุ้นด้วยว่า ช่วง 3 เดือนสุดท้ายซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ และสุดท้ายคือ ต้องลุ้นว่า ในช่วงปลายปีนี้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการช้อปดีมีคืน หรือไม่ เพราะถ้ามีปัจจัยเหล่านี้เข้าไปสนับสนุนเพิ่มขึ้น ก็เชื่อว่า SABINA จะสามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว