“แม็คกรุ๊ป” กางผลงานงวดไตรมาส 1/2565 (ก.ค.-ก.ย.64) กำไรสุทธิเกือบ 25 ล้านบาท รายได้จากการขาย 438 ล้านบาท หลังลุยการตลาดเชิงรุก อัดแคมเปญ-โปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ พร้อมคุมเข้มต้นทุน-เพิ่มประสิทธิภาพบริหารค่าใช้จ่ายสูงสุดฝ่าวิกฤตโควิด-19 ซีอีโอ ยืนยัน ฐานะทางการเงินแกร่งตุนเงินสดในมือกว่า1,800 ล้านบาท มั่นใจภาพรวมผลงานทั้งปี 2565 รายได้และกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยภาพผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 (กรกฎาคม-กันยายน 2564) ว่า ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ฉุดรั้งความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ โครงการเราชนะ และ ม.33 เรารักกัน เป็นต้น บริษัทฯยังคงรักษากำไรสุทธิไว้ได้เกือบ 25 ล้านบาท แม้รายได้จากการขายจะลดลงกว่า 40% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนเหลือ 438 ล้านบาท เป็นผลจากช่องทางออฟไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางหลักสัดส่วนกว่า 82% ของยอดขายรวม ได้รับผลกระทบจากการมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ ต้องปิดบางจุดขายเป็นการชั่วคราวเกือบ 2 เดือน ขณะที่ช่องทางออนไลน์ ไม่สามารถเข้ามาชดเชยได้ผลจากกำลังซื้อที่ถดถอย
โดยยอดขายจากช่องทางร้านค้าปลีกตัวเอง (Freestanding Shop) จำนวน 258 ล้านบาท, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) จำนวน 75 ล้านบาท, ซูเปอร์สโตร์ (Superstore) จำนวน 6 ล้านบาท และช่องทางออนไลน์ จำนวน 80 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม จากการปรับกลยุทธ์ลุยการตลาดเชิงรุก รวมไปถึงสัดส่วนการขายสินค้า และการบริหารช่องทางจัดจำหน่าย ให้สอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ที่ภาครัฐประกาศนโยบายและคุมเข้มการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายต่อบิลปรับเพิ่มสูงขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับสูง จากการเดินเกมกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะเจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย, สัดส่วนการขายสินค้า รวมไปถึงการบริหารช่องทางจัดจำหน่ายได้สอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาอย่างลงตัว ภายใต้การบริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของภาครัฐที่มีนโยบายและความเข้มข้นแตกต่างกัน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GP) ยังคงอยู่ระดับสูง 61.4% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 60.7% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NP) อยู่ที่ 5.3% จากประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดี โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ปรับลดลงเกือบ 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือ 243 ล้านบาท โดยฐานะการเงินของบริษัทล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นทั้งหมดจำนวน 1,828 ล้านบาท ภายใต้การเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้สิน จึงมีความพร้อมในการรองรับแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ซึ่งมั่นใจภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2565 รายได้และกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องเทียบจากงวดปี 2564
“ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่นิ่ง ตลาดยังมีความผันผวน เราทำได้เพียงการเตรียมความพร้อม ทำองค์กรให้แข็งแกร่ง หัวใจสำคัญคือ คุมเข้มต้นทุน-รักษากำไร เดินหน้าพัฒนาศักยภาพทางการผลิตสินค้าและบริการ รอจังหวะและโอกาสที่ “ใช่” เพื่อพุ่งทยานไปข้างหน้า” นายเจมส์ กล่าว