กรุงเทพฯ – RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร เปิดบ้านอัพเดทเทรนด์ และแนวโน้มด้านการตลาดใหม่ล่าสุดของปีนี้ ที่งาน Exclusive Forum ในหัวข้อ “Transformative Marketing Trends to Watch in 2023 by MTX” โดยมีเหล่าผู้บริหารด้านการตลาดจากองค์กรชั้นนำของประเทศมาร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนมุมมอง รวมถึงคำแนะนำในการเตรียมความพร้อมทำการตลาดยุคดิสรัปชั่น (Disruption) ที่นักการตลาดต้องทรานส์ฟอร์มทั้งองค์กรและตัวเองให้ทัน ในโลกธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดกระแสดิสรัปชั่น (Disruption) ที่เรียกร้องให้องค์กรต่างๆ ต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองในทุกด้านเพื่ออยู่รอดในสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป และหนึ่งในด้านสำคัญที่จำเป็นต้องปรับตัวตามมากที่สุด คือด้านการตลาด (Marketing) ที่มีความอ่อนไหวต่อทั้งเทคโนโลยี สภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ อีกทั้งการสลับสับเปลี่ยนของพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทำให้ผู้ทำงานด้านการตลาดกลายเป็นหนึ่งในสายอาชีพที่เรียกร้องความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาทักษะของตนเองให้สอดรับกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเหล่านี้ตลอดเวลา จากการวิเคราะห์ของนิตยสาร Forbes พบว่า ภายในปี 2023 ผู้ที่ทำงานด้านการตลาด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในระดับบริหารและผู้นำในด้านนี้ขององค์กรจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ เช่น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะมาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม ความเลือนลางของเส้นแบ่งประสบการณ์ของผู้บริโภคในโลกจริงและโลกเสมือนจริง หรือแม้แต่พัฒนาการอันก้าวกระโดดของระบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของทาง Gartner ที่ออกมาเผยว่าปี 2023 นี้จะเป็นช่วงเวลาที่พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคผันผวนจนแทบคาดเดาไม่ได้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรียกร้องให้เกิดการคิดใหม่และลงมือทำใหม่ในผู้บริหารและผู้นำด้านการตลาด ที่ต้องก้าวขาขึ้นมาเป็นด่านหน้าในการเผชิญกับโลกของธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเริ่มต้นติดอาวุธและเสริมทักษะด้านการตลาดของตัวเองจึงต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่พลาดที่จะดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ทุกบริษัทต่างต้องการผู้นำด้านการตลาดยุคใหม่ หรือ Next-Gen Marketing Leader
6 เทรนด์การตลาดที่ผู้บริหารการตลาดต้องรู้และเข้าใจหากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
หลักสูตร Marketing Transformation Xponential หรือ MTX โดย RISE ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารและผู้นำด้านการตลาดขององค์กร ได้มองเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มพูนและพัฒนาทักษะของเหล่าผู้บริหารด้านการตลาด จึงมีการจัด Exclusive Forum ในหัวข้อ “Transformative Marketing Trends to Watch in 2023 by MTX” เพื่อแนะนำแนวทางการปรับตัวที่ต้องรู้ หากไม่อยากถูกดิสรัป (Disrupt) ซึ่งในฟอรั่มนี้ได้รับเกียรติจาก 3 ผู้บริหารด้านการตลาดจากองค์กรชั้นนำของประเทศ ได้แก่ คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) คุณโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มด้านการตลาดและนวัตกรรม ของเครือกลุ่มบริษัท เดนท์สุฯ อินเตอร์เนชั่นแนล และคุณสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ Chief PC & HCC Business Officer ของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) มาร่วมพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์การเป็นผู้นำด้านการตลาดขององค์กร ที่แต่ละท่านได้สัมผัสตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการตลาด (Marketing Technology) ให้สอดรับต่อการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงและยั่งยืน รวมถึงการปรับรูปแบบและวิถีปฏิบัติทางการตลาดขององค์กรให้พร้อมรับมือและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็น 6 เทรนด์ได้ดังนี้
1. Speed over perfection – ความเร็วต้องมาก่อนความสมบูรณ์แบบ
ความรู้เรื่องการตลาดในโลกปัจจุ
บันมีอยู่อย่างมหาศาล ทำให้นักการตลาดหลายคนประสบปั
ญหากับขั้นตอนและกระบวนการเลื
อกหยิบใช้ความรู้เหล่านี้ส่
งผลให้การลงมือทำช้าลงไป และไม่สอดคล้องกั
บโลกของการตลาดยุคปัจจุบันที่
เรียกร้องการทำงานให้รวดเร็
วมากกว่าการทำงานให้สมบูรณ์แบบ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ภูมิทัศน์
ของสื่อ ช่องทางการขาย และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่
ยนแปลงไป ตัวอย่างสำคัญคือ การเผยแพร่แคมเปญในยุคก่อนหน้
านี้ที่ต้องใช้เวลาหลักปี
ในการทำให้สำเร็จ แต่ในยุคปัจจุบันกลับใช้เวลาเพี
ยงหลักอาทิตย์หรือแค่หลักวันเท่
านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็
นวิถีการทำงานของนักการตลาดยุ
คใหม่ที่ต้องให้ความสำคัญกั
บการตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ทันต่
อความต้องการที่เปลี่
ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้
วยความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึ
กซึ้ง
2. Become the customer-centric organization – องค์กรยุคใหม่ต้องให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง
องค์กรยุคปัจจุบันต้องปรับเปลี่ยนตัวเองสู่การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการกำหนดทิศทางที่จะเดินไปข้างหน้า รวมถึงมองพฤติกรรมลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกสร้างผลิตภัณฑ์ใดๆ ขึ้นมา โดยไม่จำกัดความถนัดไว้เพียงอุตสาหกรรมเดิมที่ตนอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ สำหรับนักการตลาดที่หน้าที่หลักคือการสร้างความต้องการ (Demand) ให้เกิดขึ้นในกลุ่มลูกค้า จึงต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจวิธีคิดและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และปรับกลยุทธ์รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดให้เท่าทันกับสิ่งเหล่านี้
3. Transformation begins with the small things – จะเริ่มทรานส์ฟอร์ม ไม่จำเป็นต้องทำใหญ่
หลายคนอาจมองว่าการทรานส์ฟอร์มองค์กรต้องเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ใหญ่ แต่ในความเป็นจริงสิ่งนี้สามารถเริ่มต้นทำจากจุดเล็กๆ ได้ โดยในองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งเลือกใช้วิธีการแยกแบรนด์ย่อยออกมาเพื่อทดลองค้นหาน่านน้ำใหม่ๆ เและสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) ที่จะมาตอบโจทย์ในการขยายและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับบริษัท นักการตลาดซึ่งถือเป็นสายงานที่อยู่ส่วนหน้าของการเปลี่ยนแปลง จึงต้องมีความพร้อมรับมือการทรานส์ฟอร์มที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะเราไม่มีทางทำวิธีเดิมๆ เพื่อคาดหวังผลลัพธ์แบบใหม่ๆ ได้
4. Revenue is the real metric – รายได้ของบริษัทคือตัววัดผลที่สำคัญที่สุด
เป้าหมายสำคัญของงานด้านการตลาดคือการสร้างรายได้ให้กับบริษัท และในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมากเช่นทุกวันนี้ ประกอบกับแนวคิดในการทำให้ทุกอย่างเป็นดิจิทัล (Digitized) ให้มากที่สุด นักการตลาดจึงสามารถติดตามและประเมินยอดขายได้สะดวก ง่าย และทันต่อเวลามากขึ้น รวมถึงกลายเป็นจุดวัดความสำเร็จที่เหนือกว่าแค่เพียงยอดผู้ติดตามหรือจำนวนผู้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น มาตรวัดทางการตลาดของโลกยุคนี้จึงเกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิม
5. Maintain balance and harmony of Art & Science – นักการตลาดต้องรู้จักใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์
แม้โลกยุคปัจจุบันจะมีเครื่องมือ เทคโนโลยี และข้อมูลจำนวนมากให้นักการตลาดได้เลือกใช้ ทำให้หลายครั้งนักการตลาดอาจเกิดความรู้สึกอัดแน่นด้วยข้อมูล จนสุดท้ายไม่สามารถมองหาจุดที่จะเอามาใช้ หรืออินไซต์จากข้อมูลเหล่านี้ได้ นักการตลาดจึงต้องอาศัยทั้งศิลปะในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ความคิดสร้างสรรค์ในการสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นถึง Value หรือคุณค่าของสินค้าและบริการของเรา รวมถึงการเห็นมิติทางสังคมที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ รวมถึงทักษะในการเข้าใจโมเดลธุรกิจของตนเอง และถอดเอารูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ (Customer Journey) มาปรับกลยุทธ์และแผนการทำงานที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ได้ อาจสรุปได้ว่านี่คือโลกที่นักการตลาดต้องพึ่งทั้งทักษะในการวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างวิธีการทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จ
6. Only paranoid marketer survived – นักการตลาดต้องพร้อมเรียนรู้และปรับตัวเสมอ
นักการตลาดเป็นตำแหน่งงานที่ต้องยืดหยุ่นต่อการปรับตัว เพราะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยก่อนหน้านี้นักการตลาดอาจมีบทบาทสูงในช่วงการสร้างผลิตภัณฑ์ (Product) ก่อนที่จะปรับบทบาทสู่ผู้ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการซื้อขายผ่านการเล่าเรื่อง (Storytelling) หรือการทำให้แบรนด์มีตัวตนในสายตาของผู้บริโภค ก่อนที่ปัจจุบันจะปรับมาสู่การเป็นผู้มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค (Consumer Experience) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต่างเรียกร้องทักษะการทำงานที่แตกต่างกันไป หน้าที่ของนักการตลาดจึงเป็นการวิ่งไล่ตามควาดคาดหวังของผู้บริโภคให้ทัน และปรับทักษะของตัวเองให้พร้อมต่อเป้าหมายนี้อยู่เสมอ ทำให้งานของนักการตลาดในยุคปัจจุบันต้องมีทั้งความรู้กว้างและความรู้ลึก หรืออาจเรียกได้ว่า ต้องเป็นผู้มีทักษะแบบ T-Shaped (T-Shaped Skill) เพื่อก้าวสู่การเป็นนักการตลาดที่ครบเครื่องและเท่าทันต่อพฤติกรรมของลูกค้าได้ สิ่งเหล่านี้ ยังส่งผลกระทบต่อการบริหารงานด้านการการตลาด ที่จะไม่สามารถทำตามรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป หากแต่ต้องปรับตัวให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก กลมกลืนเข้ากันกับเป้าหมายขององค์กร และทำให้ตนเองกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในด้านกลยุทธ์และสร้างผลกำไรให้กับองค์กรเพื่อทะยานสู่อนาคตของธุรกิจ
ผู้นำและผู้บริหารการตลาดต้องปรับตัวอย่างไร เพื่อจะวิ่งสู่เส้นชัยในสนามแข่งขันทางธุรกิจอันดุเดือด
แม้จะดูไม่ง่ายหากผู้บริหารด้านการตลาดต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่ คุณบี-สโรจ เลาหศิริ และ คุณจั๊ก-กรกนก เชาว์ปรีชา สองไดเรคเตอร์ของหลักสูตร MTX ก็ได้ให้คำแนะนำถึงสิ่งที่ผู้นำและผู้บริหารด้านการตลาดต้องเรียนรู้ โดยยึดเอา 3 หัวข้อสำคัญคือ ลูกค้า x เทคโนโลยี x ความคิดสร้างสรรค์ (Customer x Technology x Creativity) มาเป็นกรอบในการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับองค์กร โดยทุกวันนี้การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากแต่ยังต้องออกแบบโดยมีกระบวนการที่สร้างสรรค์อยู่เบื้องหลัง รวมถึงมีการเลือกใช้เทคโนโลยีในการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้นไปอยู่ในมือและก้าวไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสมด้วย นอกจากนี้ ผู้บริหารด้านการตลาดควรจะมีความคล่องตัว (Agility) เพื่อยืดหยุ่นต่อการรับแรงกระทบหากคลื่นความเปลี่ยนแปลงโถมเข้ามา อีกทั้งยังต้องมีทั้งความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในการพลิกแพลงกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาการเรียนรู้ (Learning Curve) ที่กระชับลง จากความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงสภาวะแวดล้อมและเครื่องมือต่าง ๆ เช่นปัจจุบัน
เบื้องหลังการออกแบบหลักสูตร MTX ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทรานส์ฟอร์มและพัฒนาทักษะของผู้บริหารด้านการตลาดโดยเฉพาะ
ไรส์ (RISE) สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ผู้นำด้านการสร้างนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันให้เกิดการทรานส์ฟอร์มในองค์กรชั้นนำระดับประเทศมาอย่างมากมาย รวมถึงขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มในกลุ่มผู้บริหารและผู้นำองค์กรผ่านหลักสูตร DTX มาอย่างต่อเนื่อง ได้มองเห็นความสำคัญในการทรานส์ฟอร์มของกลุ่มผู้บริหารและผู้นำด้านการตลาด จึงร่วมมือกับ คุณบี-สโรจ เลาหศิริ ที่ปรึกษาด้าน Marketing Transformation ชั้นนำของประเทศ ผู้เป็นอดีตหัวหน้าฝ่าย Marketing Transformation ของบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด มหาชน อีกทั้งยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ของ Rabbit’s Tale ดิจิทัลเอเจนซี่ชื่อดังสัญชาติไทย และ คุณจั๊ก-กรกนก เชาว์ปรีชา นักการตลาดสายผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Marketer) ตัวจริง ที่ผ่านประสบการณ์ประยุกต์ใช้แนวคิดทางการตลาดรูปแบบต่างๆ สู่การใช้งานจริงในองค์กร อีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร ABC หรือ Academy of Business Creativity มาจัดทำหลักสูตร Marketing Transformation Xponential หรือ MTX เพื่อสร้างทักษะสำหรับผู้บริหารด้านการตลาดให้พร้อมรับมือกับโลกของ Marketing แห่งอนาคต พร้อมได้รับคำปรึกษาใกล้ชิดจากหมอคิด-นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง RISE อีกทั้งยังเป็นไดเรคเตอร์ของหลักสูตร Digital Transformation Xponential (DTX) หลักสูตรผู้นำการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยอีกด้วย
โดยหลักสูตรนี้จะช่วยถอดรื้อแนวคิดทางการตลาดแบบดั้งเดิมที่มีออกไป ด้วย 9 หัวข้อที่จะมาทรานส์ฟอร์มวิธีคิดทางการตลาดในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งหัวข้อเรื่อง Marketing Transformation, Customer of the Future รวมถึงเรื่อง Web3 และระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ A.I. อีกด้วย โดยออกแบบการเรียนรู้ด้วยแนวคิด Experiential Workshop ที่เน้นการลงมือทำจริง และเรียนรู้จากกรณีศึกษาจริง (Case Study) จากวิทยากรระดับผู้บริหารขององค์กรระดับประเทศจำนวนกว่า 30 คน หลักสูตรนี้จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 18 พฤษภาคม 2566
ดูรายละเอียดของหลักสูตรเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมหลักสูตรได้ที่ mtx.riseaccel.com
Post Views: 171