“เรนท์สพรี” (RentSpree) แพลตฟอร์มช่วยเหลือการเช่าบ้านแบบครบวงจร ที่เข้ามาแก้ปัญหาและเปลี่ยนแปลงระบบการเช่าบ้านให้รวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเปิดให้บริการและเป็นที่รู้จักทั่วทั้งหมด 50 รัฐ ในด้านการเป็นแพลตฟอร์มคัดกรองผู้เช่า (Tenant Screening) การจัดการบ้านเช่า (Property Management) และการจัดการความสัมพันธ์ผู้เช่า (Rental Client Manager) แบบครบวงจร ซึ่งในเวลาเพียง 6 ปี เรนท์สพรี ได้ให้บริการแก่ นายหน้า เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และผู้เช่าในสหรัฐอเมริกา กว่า 750,000 ราย และขยายผู้ใช้งานโดยการพาร์ทเนอร์กับองค์กรชั้นนำในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์กว่า 200 องค์กร
เรนท์สพรีได้เริ่มธุรกิจเมื่อปี 2016 โดยมี คุณปอม – เอกบุตร สิริศุภางค์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งชาวไทย ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการหรือ COO ร่วมด้วย Michael Lucarelli (ไมเคิล ลูคาเรลลี) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร ที่ติดอันดับ 30 under 30 การจัดอันดับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ในหมวดองค์กรเทคโนโลยีโดย Forbes ปี 2021 เรนท์สพรี ได้จัดตั้งสำนักงานใหญ่ที่ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสำนักงานฝั่งอเมริกานี้ จะดำเนินงานด้านการพัฒนาธุรกิจและการดูแลลูกค้า (Business Development) ส่วนสำนักงานในประเทศไทย จะดำเนินงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ซึ่งประกอบไปด้วยทีม Software Engineer, Data Engineer และ Product Design
ในกลางปี 2021 ที่ผ่านมา เรนท์สพรี ได้รับเงินทุนมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท จนกลายมาเป็นสตาร์ทอัพระดับ Series A โดยมี 645 Ventures เป็นกลุ่มนักลงทุนหลักที่รวมลงทุนกับเรนท์สพรีตั้งแต่รอบ Seed Round พร้อมด้วย Green Visor Capital และ Vesta Ventures และการได้รับเงินทุนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญ ที่ผลักดันให้มูลค่าธุรกิจของเรนท์สพรี สูงถึง 1,600 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำเงินลงทุนก้อนดังกล่าวมาพัฒนาธุรกิจให้ไปสู่ระดับโลก รวมถึงขยายทีมบุคลากรในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาแพลตฟอร์ม โดย เรนท์สพรี ได้ตั้งเป้าขยายจำนวนบุคลากรในประเทศไทยจาก 85 คน ให้เป็น 200 คนภายในสิ้นปี 2022 นับว่าทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์คนไทย เป็นกุญแจสำคัญที่ต่อยอดแพลตฟอร์ม ให้กลายมาเป็นผู้นำตลาดด้านการเช่าบ้านที่สหรัฐอเมริกาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ในส่วนของอัตราการเติบโตของ เรนท์สพรี นั้นมีรายรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่าในทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2021 สามารถสร้างรายรับได้ถึง 300 ล้านบาท และสำหรับในปี 2022 นี้ ทางบริษัทฯ ก็ได้ตั้งเป้าไว้ที่ 600 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กร คือทำให้ เรนท์สพรี เป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นของคนไทยภายในปี 2024
สำหรับกลยุทธ์ที่วางไว้เพื่อให้ เรนท์สพรี ไปถึงเป้าหมาย ประกอบไปด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
- People – ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “คน” ถือเป็นกำลังหลัก นอกจากนั้น วัฒนธรรมองค์กรและการพัฒนาบุคลากร ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เรนท์สพรีให้ความสำคัญ เรนท์สพรี มุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศการทำงานให้รองรับคนรุ่นใหม่ รวมถึงเตรียมพร้อมเรื่องสวัสดิการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมทักษะให้กับพนักงาน เพื่อพัฒนาบุคลากรปัจจุบันให้เก่งไม่แพ้บุคลากรชั้นนำตามบริษัทฯ ระดับโลกใน Silicon Valley ที่สหรัฐอเมริกา
- Growth – การสร้าง เรนท์สพรี ให้เป็นแพลตฟอร์มการเช่าบ้านที่ครบวงจรมากขึ้น และกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับนายหน้า เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และผู้เช่าทุกๆ คน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้มีอัตราผู้ใช้งานที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
- Partner – การเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์และสร้างเทคโนโลยีใหม่ ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับลูกค้าผู้ใช้งาน และช่วยให้บริษัทฯ เข้าถึงตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- Brand – การเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของการเช่าบ้านจากธุรกรรมเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว เรนท์สพรี จะเป็น PropTech สตาร์ทอัพเจ้าแรกที่จะทำให้การเช่าบ้านเป็นเรื่องที่ง่าย รวดเร็ว และปลอดภัย
คุณปอม- เอกบุตร สิริศุภางค์ กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการหรือ COO และผู้ร่วมก่อตั้ง เรนท์สพรี กล่าวว่า “สำหรับ เรนท์สพรี กลยุทธ์สำคัญที่จะขับเคลื่อน บริษัทฯ ไปสู่เป้าหมายในการก้าวไปสู่ระดับยูนิคอร์นนั้น สิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คือ People คนไทยเป็นบุคคลากรที่มีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก แน่นอนว่า เรนท์สพรี เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทย เราจึงต้องการเฟ้นหาบุคลากรคนไทยให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับเรา เราพร้อมที่จะพัฒนาบุคลากรให้เติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ เดินหน้าสู่เป้าหมายไปพร้อมกับเรา เรนท์สพรี มุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการเช่าบ้านในระดับโลก เพื่อยกระดับชีวิตของผู้คน ให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และเชื่อมโยงกันได้มากขึ้นภายในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งเราได้ตั้งเป้าว่าต้องไปสู่จุดนั้นให้ได้ภายใน 3 ปีต่อจากนี้ เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ว่า เราได้สร้างสิ่งที่มีประสิทธิภาพและสามารถแก้ไขปัญหาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้จริง พร้อมขยายต่อยอดแพลตฟอร์มให้ใช้ได้ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยในอนาคต”