บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ ประกาศลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านโครงการ SPACE-F ศูนย์บ่มเพาะและเร่งสตาร์ทอัพเทคโนโลยีอาหารแห่งแรกของไทย พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ภายใต้แนวคิด “ความร่วมมือเพื่ออนาคตของอาหาร” ซึ่งแสดงถึงปณิธานของสมาชิกทุกท่านในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารไทย เป็นความพยายามร่วมกันในการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อเพิ่มการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร และสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมอาหารที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นางสาวสุภามาศ อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีลงนาม
นางสาวศุภมาศ อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) กล่าวว่า “เป้าหมายหลักประการหนึ่งของ MHESI คือการเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยความคิดริเริ่มต่างๆ เช่น โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี เรามุ่งหวังที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นเศรษฐกิจที่อิงมูลค่า และสิ่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ที่การยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของเรา อุตสาหกรรมอาหารถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง เนื่องจากประเทศไทยซึ่งครองอันดับ 12 ผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 12 ของโลก คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกทะลุ 1.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2566 มีธุรกิจมากกว่า 136,000 ธุรกิจ และสร้างงานมากกว่า 973,000 ตำแหน่ง โครงการ SPACE-F ถือเป็นความคิดริเริ่มที่สำคัญของกระทรวงของเรา โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสตาร์ทอัพด้าน FoodTech ในการเติบโตและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาหารให้แข็งแกร่งและยั่งยืนมากขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับโลก และเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ กลายเป็น “Innovation Nation” และขยับขึ้นสู่ดัชนีนวัตกรรม ระดับ โลกอันดับที่ 30 ภายในปี 2573”
ดร.กฤษฎิ์ผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ภารกิจของ NIA คือการยกระดับระบบนวัตกรรมของประเทศ และอุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญที่ NIA ตั้งเป้าขับเคลื่อน จากรายงาน Global Startup Ecosystem Index โดย startupblink พบว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 52 ของโลก อันดับที่ 11 ในเอเชียแปซิฟิก และอันดับที่ 4 ในอาเซียน กรุงเทพฯ มีความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง โดยขยับขึ้นมา 25 อันดับ สู่อันดับที่ 74 ของโลก และรั้งอันดับที่ 3 ในอาเซียนในฐานะหนึ่งในเมืองชั้นนำด้านระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ” “โครงการ SPACE-F ได้ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นไปที่การบุกเบิกเทรนด์แห่งอนาคต เช่น สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี โปรตีนทางเลือก การผลิตอัจฉริยะ โซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และบริการอาหารอัจฉริยะ โปรแกรม SPACE-F เป็นแพลตฟอร์มที่ดีเยี่ยมในการช่วยให้สตาร์ทอัพเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ของตนให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก ในปีนี้ เนสท์เล่ ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำจากภาคเอกชน เข้าร่วมโครงการ SPACE-F เพื่อนำความเชี่ยวชาญมาสู่โครงการ และเสนอโอกาสให้สตาร์ทอัพทั้งระดับโลกและระดับท้องถิ่นร่วมกันกำหนดอนาคตของนวัตกรรมอาหาร”
นายวิคเตอร์ ซีอาห์ ประธานและซีอีโอของเนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายของเราที่เนสท์เล่คือการปลดล็อกพลังของอาหารเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนทั้งในปัจจุบันและรุ่นต่อๆ ไป เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมโปรแกรม SPACE-F เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่จะช่วยให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัท นอกจากนี้เรายังเชื่อว่าการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในโครงการ SPACE-F ถือเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยเพื่อส่งมอบอนาคตของอาหารที่ “ดีสำหรับคุณ” และ “ดีต่อโลก” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของบริษัท เราจะทำงานร่วมกับพันธมิตรโครงการและผู้ประกอบการของเราเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งรสชาติดีขึ้นและดีต่อสุขภาพมากขึ้น และจัดการกับความท้าทายด้านความยั่งยืนที่อุตสาหกรรมอาหารและประเทศต้องเผชิญ” ด้วยเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนา 25 แห่งทั่วโลก และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ 10 แห่ง เนสท์เล่ทุ่มเงินลงทุนจำนวนมากประมาณ 1.7 พันล้านฟรังก์สวิส (หรือ 70,000 ล้านบาท) ต่อปี เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนใน ทุกช่วงชีวิต สตาร์ทอัพในโครงการ Space-F จะช่วยเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ของเนสท์เล่ และช่วยให้เราเร่งสนับสนุนผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหารได้เร็วขึ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , กล่าวว่า “ในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ อนาคตของอาหารกำลังถูกเขียนใหม่โดยผู้มีความคิดเชิงนวัตกรรมและการแสวงหาอย่างไม่หยุดยั้งของผู้ประกอบการทั่วโลก ที่ไทยยูเนี่ยน เราเข้าใจดีว่าการเดินทางของนวัตกรรมนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ความท้าทายเหล่านี้ก็คือ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปข้างหน้า ด้วยความคิดริเริ่ม เช่น SPACE-F เรามุ่งหวังที่จะควบคุมศักยภาพของเทคโนโลยีอาหาร ตอบสนองความต้องการเร่งด่วนในยุคของเรา ในขณะเดียวกันก็ปูทางสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืน ภารกิจของเราชัดเจน – เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งที่นวัตกรรมเจริญรุ่งเรือง ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก การร่วมมือกับ Nestlé ไม่ใช่แค่ความร่วมมือเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันของเราในการเลี้ยงดูผู้ประกอบการด้านอาหารและปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เรามุ่งมั่นที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่ร่วมกัน ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย และสร้างอนาคตที่อุตสาหกรรมอาหารมีความยืดหยุ่นพอๆ กับการปฏิวัติ”
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยกลยุทธ์องค์กรด้านการวิจัยและนวัตกรรมระดับโลก พร้อมด้วยการศึกษาด้านวิชาการและผู้ประกอบการ ได้สร้างงานวิจัย นวัตกรรม และผู้สำเร็จการศึกษาที่มีความสามารถระดับโลกที่มีความเป็นผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ . เนื่องจากเราเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของประเทศ จึงมีแนวโน้มว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์การวิจัย ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ รวมถึงวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์การอาหาร โภชนาการ วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะพร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่เรา ผู้ประกอบการอาหาร/สตาร์ทอัพรุ่นอนาคตในโครงการ SPACE-F มุ่งสู่การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตของเอเชีย”
โปรแกรม SPACE-F เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 โดยได้สนับสนุนพอร์ตโฟลิโอของสตาร์ทอัพระดับท้องถิ่นและระดับโลกจำนวน 60 รายที่ระดมทุนได้สำเร็จกว่า 63 ล้านเหรียญสหรัฐ แอปพลิเคชัน SPACE-F Batch 5 เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคม 2024 ในโปรแกรม Food Tech Startup Incubator & Accelerator เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม ขับเคลื่อนการเติบโตของเทคโนโลยีอาหาร และปลูกฝังโมเดลธุรกิจที่นำเสนอศักยภาพในการเติบโตแบบก้าวกระโดด ความพยายามนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีอาหารที่สำคัญสำหรับภูมิภาคและภูมิภาคอื่นๆ