‘บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง’ หรือ PEACE โชว์ผลงานปี 64 ทุบสถิติ ทำ All Time High กวาดรายได้ 1,167 ล้านบาท เติบโต 34.62% และกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท เติบโต 60.86%พร้อมประกาศข่าวดี บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลงวดปี 64 ในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาทต่อหุ้น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น หลังเข้าจดทะเบียนใน SET พร้อมประเมินแนวโน้มตลาดอสังหาฯ เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ ย้ำชัดเป้าหมายเติบโต 2 เท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า
นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า บริษัทฯ ทำผลการดำเนินงานปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) โดยมีรายได้รวม 1,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.62% และมีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งยัง รักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ 38.96% นับเป็นการทำผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการทยอยรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ ที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ ทั้ง 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,700 ล้านบาท เช่น โครงการ Cher งามวงศ์วาน – ประชาชื่น, โครงการ Cher สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา, โครงการ Cordiz อุดมสุข และโครงการ The Glamor เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการของ PEACE ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ตรงกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาด จึงตั้งราคาขายของโครงการ ให้สอดคล้องความต้องการซื้อและกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดย ณ สิ้นปี 2564 มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 779 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้
“ผลการดำเนินงานปี 64 นับเป็นการทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ทั้งรายได้จากการขายและกำไรสุทธิ ซึ่งมาจากการแผนการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 7 โครงการ ภายใต้แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก ทั้ง The Glamor, Cordiz และ Cher ที่เป็นฮีโร่โปรดักส์ ทำให้สะท้อนมาเป็นผลการดำเนินงาน ที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง” นายประสพศักดิ์ กล่าว ทั้งนี้ หลังจาก PEACE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเพื่อตอกย้ำเป็นหุ้นปันผล (Dividend Stock) ที่ดีเพื่อตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 เป็นหุ้นปันผลในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท* โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 15 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PEACE กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองบ้าน-คอนโดเหลือ 0.01% รวมถึงมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) ผ่อนคลายมาตรการ LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็น 100% จนถึงสิ้นปี 2565 ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์คึกคักมากขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัวเร็วมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดีของ PEACE ถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งฐานลูกค้าเป็นกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ Real Demand อีกทั้งยังมีกำลังซื้อสูงและมองหาโอกาสซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ หลังพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ซึ่งบริษัทฯ ได้ปรับรูปแบบโครงการให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุค New Normal ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยรองรับการใช้ชีวิตและมีพื้นที่สีเขียวในการผ่อนคลาย มีพื้นที่ทำกิจกรรมภายในครอบครัว ตอบสนองความต้องการคนในครอบครัวได้หลากหลายรูปแบบทั้งการ Work from Home และการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและเติบโตได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ขายภายในปี 2567 เพิ่มเป็น 2 เท่า และเติบโตเป็น 3 เท่า ภายในปี 2569 โดยบริษัทฯ มีความพร้อมด้านบุคลากรและฐานเงินทุนที่แข็งแรง ช่วยเพิ่มโอกาสพัฒนาโครงการสอดรับกับเรียลดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,045 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ประกอบด้วย 1. โครงการ Cherene กรุงเทพกรีฑา – ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท 2. โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท และ 3. โครงการ Cher ราชพฤกษ์ – พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2 – 3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท ปัจจุบัน PEACE อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อจัดซื้อที่ดินใหม่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยวางงบไว้ราว 1,200-1,500 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมในการพัฒนาโครงการใหม่ และสามารถรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต
หมายเหตุ: (*) บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลในรูปหุ้นปันผลและเงินสด รวมเป็นปันผลจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 168,000,000 บาท