ทรินา โซลาร์ (Trina Solar) ผู้นำระดับโลกด้านเซลล์แสงอาทิตย์และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร เปิดตัวโมดูลหลังคารุ่นใหม่ที่งานแสดงสินค้าเจเนรา (Genera) ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โมดูลที่ว่านี้ก็คือกลุ่มผลิตภัณฑ์กระจกสองชั้นประเภท N รุ่น Vertex S+ ที่มีกำลังสูงถึง 445W สูงที่สุดในพื้นที่น้อยกว่า 2 ตารางเมตร โมดูลเหล่านี้รวมเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายอย่างเข้าด้วยกัน โดยรับประกันพลังงานนานถึง 30 ปี และเริ่มผลิตจำนวนมากแล้ว  เมื่อต้องเลือกแผงโซลาร์เซลล์สำหรับติดตั้งบนหลังคาแล้ว ผู้ติดตั้งและลูกค้าต่างมองหาคุณสมบัติ 3 อย่าง ได้แก่ กำลังสูงสุดจากพื้นที่จำกัด การติดตั้งและใช้งานที่ไร้ปัญหาแม้ผ่านไปหลายทศวรรษ และดูดีบนหลังคา ซึ่งโมดูลซีรีส์ Vertex S+ ใหม่จากทรินา โซลาร์ ตอบโจทย์ได้ทั้งหมด

ตอบโจทย์ได้ทุกด้าน เลือกได้ระหว่างแบบหน้าเดียวกับสองหน้าในพื้นที่ไม่ถึง 2 ตร.ม.

หลังคาและความพึงพอใจส่วนบุคคลอาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามสถานการณ์การใช้งาน ดังนั้น Vertex S+ จึงมีให้เลือกสองแบบ ได้แก่ NEG9R.28 แบบหน้าเดียว ซึ่งมาพร้อมกับส่วนห่อหุ้มด้านหลังสีขาวสำหรับ ให้กำลังสูงสุดถึง 445Wp และดันประสิทธิภาพแตะ 22.3% ขณะที่ NEG9RC.27 แบบโปร่งใสเป็นตัวเลือกสำหรับการใช้งานที่เน้นรูปลักษณ์สวยหรู เช่น บนหลังคาบ้านพักอาศัย ซึ่งชุดแผงเซลล์แสงอาทิตย์จะดูกลืนไปเลย โมดูลแบบสองหน้านี้มีกำลังด้านหน้า 435Wp โดยให้ประสิทธิภาพ 21.8% โมดูลทั้งสองประเภทมีพื้นที่ผิวน้อยกว่า 2 ตารางเมตร (1’762*1’134*30 มม.) พร้อมกรอบอะลูมิเนียมสีดำ

หัวใจสุดแกร่ง ด้วยเซลล์ประเภท N

Vertex S+ ใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยี Vertex ขนาด 210 มม. ไม่ต่างจากโมดูลทรินา โซลาร์ ตัวอื่น ๆ ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้เซลล์ i-TOPCon ชนิด N ทำให้โมดูลดังกล่าวสร้างพลังงานเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 10% ในระยะเวลา 30 ปี เมื่อเทียบกับโมดูลประเภท P ยิ่งกว่านั้น เซลล์ประเภท N เสื่อมสภาพเริ่มต้นน้อยกว่าเดิม 50% และมีการลดทอนพลังงานต่อปีลดลง 11% ซึ่งเมื่อรวมปัจจัยทั้งสอง ซึ่งก็คือพลังงานที่สูงขึ้นและการเสื่อมสภาพที่น้อยลงแล้ว ก็ทำให้ได้ผลผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากตลอดอายุการใช้งานของโมดูล และเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วย  ทรินา โซลาร์ ได้ยกระดับโรงงานผลิตโมดูลประเภท N ใหม่ล่าสุดที่บูรณาการแนวตั้ง เพื่อรองรับการจัดหาเซลล์ i-TOPCon ประเภท N สำหรับโมดูลทุกขนาด

เชื่อถือได้และยั่งยืน ด้วยโครงสร้างกระจกสองชั้น

Vertex S+ เป็นโมดูลบนหลังคาตัวแรกในตลาดที่มีโครงสร้างกระจกสองชั้น โดยเพิ่มกระจกชั้นที่สองแทนแผ่นพลาสติกด้านหลัง การออกแบบกระจกสองชั้นจึงมีความน่าเชื่อถือสูงและให้การป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบแม้ผ่านไปหลายสิบปี ทำให้โครงสร้างโมดูลนี้ทนทานต่อละอองเกลือ กรด และด่างได้อย่างมาก กระจกใช้กันรั่วได้อย่างสมบูรณ์แบบและมีสมมาตร จึงมั่นใจได้ว่าความชื้นจะซึมผ่านไม่ได้ และลดความเค้นบนเซลล์ให้เหลือน้อยที่สุด นอกจากนี้ โมดูลกระจกสองชั้นในซีรีส์ Vertex ยังมีความปลอดภัยจากอัคคีภัยสูงสุด แต่ไม่เพียงแค่นั้น การไม่ใช้แผ่นรองหลังยังช่วยลดการใช้พลาสติก ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากโมดูล และรีไซเคิลได้เมื่อหมดอายุการใช้งาน

การจัดการและความเข้ากันได้ ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ติดตั้งเป็นหลัก

ความก้าวหน้าในการแปรรูปกระจก ทำให้ทรินา โซลาร์ ใช้กระจกแบบบางพิเศษ 2 ชั้นที่มีความหนาเพียง 1.6 มม.ได้ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 21.1 กก. ซึ่งเทียบได้กับโมดูลแบบมีแผ่นด้านหลัง ทำให้ผู้ติดตั้งนำ Vertex S+ ไปติดตั้งบนหลังคาได้ เหมือนกับที่ทำกับโมดูลแสงอาทิตย์ทั่วไป   สำหรับการติดตั้งนั้น Vertex S+ ทำงานร่วมกับส่วนประกอบ BOS อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี มีวิธีการติดตั้งที่หลากหลายรวมถึงการหนีบด้านสั้นและด้านยาว คานขวาง รางร่วม และการติดตั้งแบบเลื่อนเข้า นอกจากนี้ ยังมีค่ากระแสลัดวงจรอยู่ที่ 10.7A จึงสามารถใช้งานร่วมกับอินเวอร์เตอร์กระแสหลักได้มากกว่า 99% ในตลาด ตามที่เคยนำไปวิเคราะห์ความเข้ากันได้แล้วอย่างครอบคลุม

อุ่นใจได้นานเกิน 30 ปี

ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างด้วย Vertex S+ จะยังคงให้พลังงานแสงอาทิตย์แก่ลูกหลานของเรา เพราะมาพร้อมกับการรับประกันประสิทธิภาพยาวนานถึง 30 ปี โดยรับประกันความสมบูรณ์ของกลไกเป็นเวลา 25 ปีเต็ม เมื่อเทียบกับ 15 ปีตามมาตรฐานอุตสาหกรรม การรับประกันที่เพิ่มขึ้นมานี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความไว้วางใจที่ทรินา โซลาร์ มีต่อเทคโนโลยีกระจกสองชั้น และประสิทธิภาพในระยะยาวของเซลล์ชนิด N

สร้างคุณค่าและความเชื่อมั่นกับลูกค้า

Vertex S+ จะช่วยผู้ติดตั้งได้อย่างมากเพราะมีจุดขายเด่นชัด ทำให้นำเสนอการลงทุนที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าได้ในแง่ของการรับประกันและเพิ่มผลผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ โดดเด่นด้วยโครงสร้างกระจกสองชั้นน้ำหนักเบาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จึงมีประสิทธิภาพและประโยชน์ด้านความปลอดภัยเหนือกว่า นอกจากนี้ การใช้กระจกมากขึ้นยังช่วยลดการใช้พลาสติกและเพิ่มความทนทาน ยืดอายุแผงและทำให้รีไซเคิลได้มากขึ้น  ผลิตภัณฑ์นี้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งผู้ติดตั้งและลูกค้าปลายทางในแง่ผลผลิตพลังงาน ความทนทาน และความยั่งยืน หรือสรุปสั้น ๆ ว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่รองรับกับอนาคต