กรุงเทพฯ : กลุ่มดุสิตธานี รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2565 (ตุลาคมถึงธันวาคม) เผยรายได้รวม 1,723 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงปี 2562 ส่งผลให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 446 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 46 ล้านบาทพลิกจากที่เคยขาดทุนในช่วงหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นไม่ประจำ บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมีผลขาดทุนสุทธิลดลง และยังมี CORE EBITDA เป็นบวกติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เป็นไตรมาสที่บริษัทฯ มีรายได้รวมรายไตรมาสสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเป็นการเติบโตจากการประกอบธุรกิจหลักทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับบริษัทฯ มีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น (กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและกำไรจากการขายที่ดิน) ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 46 ล้านบาท พลิกกลับมาเป็นบวกจากผลขาดทุนในช่วงหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นไม่ประจำแล้ว ภาพรวมของผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยมีผลขาดทุนสุทธิลดลงมาอยู่ที่ -107 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิที่ -109 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิที่ -303 ล้านบาท
“ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ยังเป็นไตรมาสที่บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 446 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เรามี Core EBITDA เป็นบวกติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส ซึ่งถือว่าน่าพอใจมาก และเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในปีที่ผ่านมาสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีเตรียมพร้อมรับมือกับการกลับมาของการท่องเที่ยวอย่างกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่พลาดโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นตัวของกิจกรรมการเดินทางและสามารถรับปัจจัยบวกนี้ได้อย่างเต็มที่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2565 ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ มีการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ การเดินทางที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ท่องเที่ยวเป็นเวลานาน (revenge travel) โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดไว้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้นโดยเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี และทำให้รายได้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ในปี 2565 กลับมาที่ระดับ 85% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นการกลับมาของรายได้ที่ดีกว่าประมาณการของบริษัทฯ ที่มีสมมติฐานไว้ที่ 75% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมปี 2562 ขณะที่ธุรกิจอาหารเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการทยอยกลับมาให้บริการปกติของธุรกิจให้บริการจัดหาอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติและจากธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจเบเกอรี่ที่บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในช่วงปลายไตรมาส 2 ของปี 2565 เช่นเดียวกับธุรกิจการศึกษา ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการกลับมาเรียนตามปกติ (on-site) มากขึ้น
โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากปี 2564 ซึ่งการฟื้นตัวของธุรกิจหลักดังกล่าว ทำให้ในปี 2565 บริษัทฯ มี EBITDA 864 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.8 จากปี 2564 ขณะที่บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิอยู่ที่ -501 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนที่ลดลงจาก -945 ล้านบาทในปี 2564 และหากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานจากการประกอบธุรกิจหลักที่ดีขึ้น โดยมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ -595 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ -1,204 ล้านบาทในปี 2564
สำหรับปี 2566 กลุ่มดุสิตธานีมีแผนที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เพิ่มขึ้นอีก 14 แห่ง รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,700 ห้อง ใน 7 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งในเอเชียและยุโรป รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะทำให้พอร์ตโฟลิโอทั่วโลกของกลุ่มดุสิตในปีนี้ มีโรงแรมรวมกันทั้งหมด 62 แห่ง หรือประมาณ 13,700 ห้อง ใน 17 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งยังมีอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 60 แห่งที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการภายใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยล่าสุด กลุ่มดุสิตธานีมีความพร้อมที่จะสร้างความตื่นเต้นครั้งใหม่ให้กับการเดินทาง โดยจะเปิดให้บริการภายใต้แบรนด์ “ดุสิตธานี” ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ที่พร้อมให้บริการในเดือนกันยายน และโรงแรมอาศัย เกียวโต ชิโจ ที่จะเปิดให้บริการรับนักท่องเที่ยวได้ในเดือนมิถุนายนนี้