เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่ งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจาก นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการศึ กษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกั นภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 12 ประจำปี 2567 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสู งจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกั บระบบประกันภัย ทั้งการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพั ฒนาการในด้านต่าง ๆ ของระบบประกันภัย ปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเสริมสร้างการเป็นผู้ นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม การบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ การนำองค์กรไปสู่ความสำเร็ จโดยสอดคล้องกับสภาวการณ์ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของโลก ตลอดจนการระดมความคิดเห็ นจากประสบการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่ อการพัฒนาระบบประกันภัยให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในโอกาสนี้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทการประกันภัยกับการส่ งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้ กับระบบเศรษฐกิจและสั งคมของประเทศอย่างยั่งยืน” โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า การปรับตัวและการเรียนรู้ จากประสบการณ์ในอดีตเป็นสิ่ งสำคัญในการทำให้องค์กรเติ บโตและประสบความสำเร็จในสภาวะที่ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่ อเนื่อง โดยเฉพาะหน่วยงานกำกับและส่ งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ต้องเผชิญกับความท้าทายหลัก 5 ประการ คือ ประการแรก การเติบโตและความผั นผวนของเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย การเติบโตของ GDP การขยายตัวของการประกันภั ยรถไฟฟ้า (EV) ประการที่ 2 สังคมผู้สูงอายุและชีวิตหลั งเกษียณ ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สู งวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ในปี 2575 ถือเป็นโอกาสของภาคธุรกิจประกั นภัยที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ ประเภทต่าง ๆ เช่น ประกันภัยสุขภาพ ประกันชีวิตแบบบำนาญ เพื่อรองรับความต้ องการของตลาดผู้สูงอายุ ประการที่ 3 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการเข้าถึงลูกค้า โดยสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่ เฉพาะเจาะจงของลูกค้าได้มากขึ้น ดูแลลูกค้าได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ประการที่ 4 การนำหลักการการพัฒนาอย่างยั่ งยืน (ESG) ไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของบริษัทประกันภัย และ ประการที่ 5 การปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดรับกั บมาตรฐานสากล และบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น สิ่งสำคัญที่หน่วยงานกำกั บและภาคธุรกิจประกันภัยจะต้ องให้ความสำคัญอย่างมาก คือ ธุรกิจประกันภัยต้องมีความยื ดหยุ่น คำนึงถึงความยั่งยืน ปรับตัวให้เท่าทันความเสี่ ยงและสภาพแวดล้อม ประชาชนและภาคเอกชน เข้าใจ เข้าถึง และเชื่อมั่นระบบประกันภัย โดยสร้างความแข็งแกร่ง มั่นคง และความน่าเชื่อถือให้กั บระบบประกันภัย เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้ างศรัทธาให้กับประชาชน ในการยกระดับมาตรฐานการกำกั บความมั่นคงและการตรวจสอบบริษั ทประกันภัย
โดยธุรกิจประกันภัยต้องมี มาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐานที่ เพียงพอเหมาะสม สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภั ยที่ยั่งยืน หลากหลาย และสะท้อนความเสี่ยงเฉพาะราย ในขณะเดียวกันธุรกิจประกันภั ยเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีดิจิ ทัล ฐานข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ธุรกิจประกันภัยจึงมีบทบาทสำคั ญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิ จของประเทศผ่านกลไกที่มี ความหลากหลายและครอบคลุมความเสี่ ยงในทุกมิติ ภายใต้การมีส่วนร่วมระหว่ างภาครัฐ และภาคเอกชนในการผลักดันและขั บเคลื่อนนโยบายสำคัญต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิ จของประเทศที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้ าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่ งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และศิษย์เก่าหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 1 ให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้ าอบรมในหลักสูตร วปส. รวมถึงเน้นย้ำถึงความสำคัญและคุ ณค่าของธุรกิจประกันภัยแก่นักศึ กษา วปส. รุ่นที่ 12
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่ งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการศึกษาอบรมในหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 12 ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาวิชา จัดหมวดหมู่วิชาใหม่ให้สอดคล้ องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนการทำรายงานการศึกษากลุ่ มเพื่อให้ผู้เข้ารับการศึ กษาอบรมได้ร่วมกันระดมความคิ ดเห็นจากประสบการณ์ที่ หลากหลายในประเด็นที่เกี่ยวข้ องกับการประกันภัยที่น่าสนใจ และได้กำหนดให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งจากภายนอกและภายในองค์ กรมาร่วมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งจากการปรับปรุงและพัฒนาหลั กสูตรอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลักสูตร วปส. ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่ วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเงิน และภาคธุรกิจประกันภัย เข้าร่วมรับการอบรมจำนวนทั้งสิ้ น 144 คน ที่จะร่วมกันระดมความคิดเห็ นจากประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่ อช่วยให้ข้อเสนอแนะและพั ฒนาระบบประกันภัยให้มีประสิทธิ ภาพยิ่งขึ้น