กรุงเทพฯ – 7 มีนาคม 2565 – โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เครือโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย เผยแผนธุรกิจและกลยุทธ์เติบโตในปีพ.ศ. 2565 เดินหน้าขยายสาขาไปยังตลาดใหม่ทั่วโลก พร้อมพัฒนา คอนเซ็ปต์แบรนด์โรงแรมใหม่ๆ อันสอดคล้องกับแผนธุรกิจและวิสัยทัศน์ในการก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเซ็นทาราตั้งเป้าขยายโรงแรมและรีสอร์ทในเครือจากปัจจุบัน 88 แห่ง ให้ได้เป็น 200 แห่ง ภายในปีพ.ศ. 2569 ซึ่งจะทำให้จะสัดส่วนจำนวนของโรงแรมในไทยและต่างประเทศอยู่ที่จำนวนที่ใกล้เคียงกัน โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีผลดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4 ปีพ.ศ. 2564 ว่ามีรายได้รวม 1.09 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีผลดำเนินธุรกิจมากขึ้นในปีพ.ศ. 2565 นี้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19รวมถึงผลประกอบการของโรงแรมในต่างประเทศทั้งในตลาดตะวันออกและมัลดีฟส์ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีพ.ศ. 2565 นั้น เซ็นทาราจะเดินหน้าเปิดโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเพิ่มอีก 8 แห่ง (จำนวน 1,066 ห้อง) ให้ครอบคลุมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวหลักในไทย อาทิ กรุงเทพฯ โคราช และอุบลราชธานี และในต่างประเทศ อาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโอมาน และกาตาร์ หนึ่งในกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจที่สำคัญของเซ็นทารา คือการจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำเพื่อเปิดให้บริการโรงแรม ทั้งภายใต้แบรนด์เดิมที่มีอยู่แล้วและแบรนด์น้องใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ และด้วยความสำเร็จและกระแสตอบรับอันท่วมท้นของโรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุยโรงแรมแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ แห่งแรกที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 เซ็นทาราจึงเตรียมขยายความสำเร็จของแบรนด์ เซ็นทารา รีเซิร์ฟ สู่หัวเมืองท่องเที่ยวหลักอื่นๆ อย่างเช่น กระบี่ รวมถึงโปรเจ็คที่อยู่ในระหว่างการศึกษาหาข้อมูลเพื่อพัฒนาต่อไป อาทิ เกาะลันตาและชะอำ นอกจากนั้น เซ็นทารายังมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจสู่ตลาดด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Wellness segment) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาหาข้อมูลร่วมกับกลุ่มบริษัทจากยุโรป โดยเซ็นทารามองเห็นถึงศักยภาพของเกาะเต่าและเกาะสมุยสำหรับการเปิดโรงแรมด้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอนาคต
สำหรับการขยายสาขาในต่างประเทศ โรงแรมในมัลดีฟส์แห่งใหม่ 2 แห่งนั้นเพิ่งได้รับการรับรองผ่านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) จึงสามารถเริ่มดำเนินงานก่อสร้างได้ ต่อจากก่อนหน้าที่ดำเนินการก่อสร้างเสร็จไปแล้ว 3 แห่ง โดยจะมี 2 แห่งที่มีกำหนดเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2567 และพ.ศ. 2568 ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้เซ็นทารามีโรงแรมในในมัลดีฟส์ที่เปิดให้บริการทั้งสิ้นเป็น 4 แห่งนอกจากนั้น โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้าที่เป็นการร่วมทุนระหว่างเซ็นทารา บริษัท Taisei Corporation และ Kanden Realty & Development ที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างก็มรความคืบหน้า และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางปีพ.ศ. 2566 รวมถึงโรงแรมโคซี่ ภูเย็น ในเวียดนาม ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริหารในปีพ.ศ. 2566 โดยจะถือเป็นโรงแรมโคซี่แห่งแรกของเซ็นทาราในต่างประเทศ ในส่วนของการเติบโตในตลาดต่างประเทศ เซ็นทารานั้นมุ่งหน้าขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาบมหาสมุทรอินเดีย ญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลาง รวมถึงซาอุดิอาระเบีย หลังจากที่มีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการฑูตกับไทย อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจในตลาดยุโรปด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญของเซ็นทารา คือ การปรับแผนให้สอดรับกับเทรนด์การท่องเที่ยวและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุควิถีชีวิตใหม่อย่างฉับไว ดังเช่นเทรนด์ปัจจุบันที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย คือ workations หรือ ทำงานไปด้วย-เที่ยวไปด้วย ที่นักท่องเที่ยวนิยมมองหาสถานที่พักผ่อนและยังสามารถทำงานไปพร้อมๆ กันได้ โดยจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากคือโรงแรมและรีสอร์ทติดชายทะเล โดยเซ็นทารามองว่า ในปีพ.ศ. 2565 นั้น ธุรกิจโรงแรมจะอยู่ในช่วงทยอยฟื้นตัว ทั้งจากการท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาพักผ่อนในไทยมากขึ้น อันเนื่องมาจากปัจจัยการเปิดประเทศ การได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง และมาตรการของรัฐที่ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
โดยในภาคส่วนของงานฝ่ายปฏิบัติการ เซ็นทารายังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการพัฒนาและนำเอาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ามาใช้ หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมดของบริษัทไปเมื่อไม่นานมานี้ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ ระบบการบริหารจัดการโรงแรม และระบบศูนย์กลางของการจองห้องพักทั้งหมด โดยกำลังจะเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่จะนำมาใช้กับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในเร็วๆ นี้อีกด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมทำให้ระบบการขายนั้นสะดวกมากยิ่งขึ้น เสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบดูแลจัดการลูกค้า ที่สำคัญที่สุดคือทำให้ประสบการณ์การเข้าพักของลูกค้านั้นราบรื่นในทุกๆ มิติ ทั้งยังจะตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ด้วยการจัดฝึกอบรมต่างๆ เพื่อเพิ่มความพร้อมและเสริมทักษะ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมาพร้อมกับแผนระยะยาวในการลดการใช้พลังงานและทรัพยากรน้ำลงกว่า 20% ภายในระยะเวลา 10 ปี และตั้งเป้าว่าภายในปีพ.ศ. 2568 โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราจะต้องได้รับการรับรองประกาศนียบัตรด้านความยั่งยืนให้ครบทุกแห่งอีกด้วย
“ในขณะที่โลกกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด รวมทั้งกฎเกณฑ์ข้อบังคับในเรื่องของการท่องเที่ยวที่ค่อยๆ บรรเทาลดน้อยลง เราก็มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะสามารถพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเราอาจจะต้องเจอกับอุปสรรคและความยากลำบากในช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เซ็นทาราก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดและขยายธุรกิจออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความมั่นใจ และในขณะนี้ที่เราก้าวเข้าสู่ปีพ.ศ. 2565 อย่างเต็มตัว เรายินดีที่จะประกาศแผนการในการเติบโตธุรกิจอันน่าตื่นเต้นที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ เราตั้งเป้าเปิดโรงแรมและรีสอร์ทใหม่อีกหลายแห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ ในอนาคตอันใกล้ จึงถือได้ว่าปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่เซ็นทาราจะมุ่งมั่นสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพื่อก้าวขึ้นเป็นหนึ่งใน 100 แบรนด์โรงแรมระดับโลกให้ได้ตามที่เคยได้ตั้งเป้าไว้” ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าว สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ได้ที่ https://www.centarahotelsresorts.com
Post Views: 345