องค์การบริหารจัดการก๊าซเรื อนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) เครือข่ายคาร์บอนนิวทรั ลประเทศไทย (TCNN) ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยและศูนย์ วิจัยกสิกรไทย อัพเดทสถานการณ์ตลาดคาร์ บอนภาคสมัครใจของไทย พร้อมแนวโน้มตลาดในอนาคต ผ่านงานวิจัย “The 2024 Thailand’s Voluntary Carbon Market” ผลวิจัยชี้ผู้เล่นหน้าใหม่ต้ องการความรู้เกี่ยวกับคาร์ บอนเครดิต และการพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิ ตให้เทียบเท่าระดับสากล ส่วนกลุ่ม SMEs ต้องการทั้งความรู้และเงินทุน ซึ่งข้อมูลจากงานวิจัยที่ได้ จะนำไปประกอบการพิจารณา เสนอแนะนโยบายส่งเสริมและผลักดั นการพัฒนาตลาดคาร์บอนภาคสมั ครใจของประเทศไทย
ดร. ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจั ดการก๊าซเรือนกระจก รักษาการผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรื อนกระจก กล่าวว่า โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมั ครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน มีที่ขึ้นทะเบี ยนโครงการจำนวนรวมทั้งสิ้น 438 โครงการ มาจากแบบ Standard T-VER จำนวน 434 โครงการ และแบบ Premium T-VER จำนวน 4 โครงการ ซึ่งในจำนวนนี้มีโครงการที่ได้ รับรองคาร์บอนเครดิต จำนวน 169 โครงการ มาจากแบบ Standard T-VER เท่านั้น โดยมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้ รับการรับรองแล้ว 19.53 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เที ยบเท่า (MtCO2eq) ขณะที่เริ่มมีการซื้อขายคาร์ บอนเครดิต TVERs ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน (ล่าสุดมิถุนายน 2567) มีปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิ ตเกิดขึ้นในตลาดแรกและตลาดรอง จำนวนกว่า 3.42 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เที ยบเท่า (MtCO2eq) มูลค่าซื้อขายรวมกว่า 299 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าตลาดคาร์บอนภาคสมั ครใจของไทยในระยะ 9 เดือนของปีงบประมาณ 2567 เติบโตขึ้นกว่า 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมถึงโอกาสที่ตลาดจะขยายตั วจากแรงกระตุ้นของร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ที่จะปรับใช้ในอนาคต อีกด้วย
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในประเทศไทยปริมาณการซื้ อขายคาร์บอนเครดิตถือว่ายังอยู่ ในระดับต่ำ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.77% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรื อนกระจกของไทยทั้งหมด อุปสรรคสำคัญหนึ่งก็คือต้นทุ นในการดำเนินการ ทั้งต้นทุนค่าประเมินและรั บรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งส่งผลต่อการเติ บโตของตลาดคาร์บอนเครดิ ตในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้พัฒนา โครงการรายเล็กที่ขาดแคลนเงินทุ น
โดยผลการสำรวจสถานการณ์ตลาดคาร์ บอนภาคสมัครใจของไทยภายใต้ ความร่วมมือครั้งนี้ ที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า คาร์บอนเครดิตที่มีการซื้อขายมี ปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้ องการลดก๊าซเรือนกระจก โดยผู้พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิ ต มีแผนจะนำคาร์บอนเครดิ ตประเภทพลั งงานทดแทนออกขายในตลาด ขณะเดียวกันคาร์บอนเครดิ ตประเภทป่าไม้ที่มีราคาสูงจะมี ออกขายในตลาดน้อย เนื่องจากผู้พัฒนามีแนวโน้ มจะนำเครดิตไปใช้สำหรั บชดเชยการปล่อยก๊าซเรื อนกระจกของตนเองมากกว่า และมิติด้านราคา พบว่าผู้พัฒนาโครงการหรือผู้ ขายคาร์บอนเครดิตยินดีที่จะขาย มีแนวโน้มสูงกว่าราคาที่ผู้ซื้ อยินดีที่จะซื้อในทุกกลุ่ มประเภทโครงการ
ขณะที่ด้านมาตรการสนับสนุน พบว่า ควรมุ่งเน้นไปที่ 2 ส่วน ผ่านการสนับสนุนผู้เล่นใหม่เข้ ามาในตลาด ซึ่งต้องการความรู้เกี่ยวกั บแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาโครงการ การขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และกระบวนการซื้อขาย และส่วนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิ ตในประเทศให้เทียบเท่าและได้รั บการยอมรับในระดับสากล
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดที่เป็นกลุ่ม SMEs ต้องการให้มีนโยบายสนับสนุนด้ านความรู้และความช่วยเหลื อทางการเงิน และสร้างแรงจูงใจโดยการลดต้นทุ นค่าใช้จ่ายในการขอรับรองคาร์ บอนเครดิตสำหรับผู้พั ฒนาโครงการและมีกลไกอุดหนุ นราคาคาร์บอนเครดิตเพื่อให้ธุ รกิจ SMEs เข้าร่วมในตลาดคาร์บอนภาคสมั ครใจมากขึ้น