นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 10 ปีอยู่ที่ 3.0% และ 1.1% ตามลำดับ ในปี 2562 เงินเฟ้อและดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทำให้การค้าขายไปต่างประเทศประสบความยากลำบาก ประกอบกับคู่แข่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากการที่ประเทศตลาดใหม่สร้างฐานการผลิตได้เองหรือมีแรงงานผันตัวเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น รวมทั้งการค้าทางออนไลน์ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกต้องแบกรับต้นทุนในการดำเนินกิจการ และยังมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในการต้องปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐานสากลที่มีข้อกำหนดเพิ่มมากขึ้นให้สามารถแข่งขันได้ ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้น EXIM BANK จึงออก “มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก” และ “มาตรการ EXIM ลดภาระในการชำระหนี้” เพื่อช่วยผู้ส่งออก SMEs ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบันของ EXIM BANK ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ให้มีสภาพคล่องมากขึ้นสำหรับนำไปใช้ในกิจการและได้รับการบรรเทาภาระในการชำระหนี้ในภาวะที่อาจได้รับคำสั่งซื้อลดลง แต่ยังคงมีภาระของต้นทุนคงที่ที่กิจการต้องจ่ายทุกเดือน หรือเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา ก็สามารถนำมาเบิกใช้สินเชื่อหมุนเวียนได้ รวมทั้งใช้ในการปรับปรุงสินค้าและบริการให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น พร้อมที่จะแข่งขันท่ามกลางตลาดโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในปี 2563
มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้นำเข้าเพื่อผู้ผลิตในการส่งออก และผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก สามารถเลือกได้ที่จะใช้วงเงินกู้ระยะยาวหรือวงเงินกู้ระยะสั้น สำหรับนำไปลดภาระการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องกิจการให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินธุรกิจส่งออก หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาชำระคืนสูงสุด 7 ปี อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 เท่ากับ 3.99% ต่อปี สามารถใช้หนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมกับหลักประกันอื่น ๆ ได้ ฟรีค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อผ่าน บสย. สูงสุด 4 ปี เป้าหมายวงเงินอนุมัติ 2,000 ล้านบาท
มาตรการ EXIM ลดภาระในการชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้า SMEs ของ EXIM BANK ที่ยังไม่ต้องการวงเงินเพิ่ม แต่ต้องการลดภาระในการผ่อนชำระหนี้รายงวดที่มีกับ EXIM BANK ทั้งเงินกู้ยืมระยะยาวและเงินกู้ยืมระยะสั้น โดยลูกค้าที่มีวงเงินกู้ยืมระยะยาวจะขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 2 ปี กรณีขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี จะได้รับอัตราดอกเบี้ยลดลงจากเดิม 0.125% ต่อปี ส่วนลูกค้าที่มีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจะได้รับการเพิ่มสัดส่วนการเบิกกู้และลดอัตราดอกเบี้ย โดยเบิกกู้ได้เพิ่มสูงสุด 95% ของมูลค่า L/C และ 85% ของมูลค่า P/O พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.125% ต่อปีเป็นระยะเวลา 1 ปี มีวงเงินสนับสนุน 4,000 ล้านบาท
ทั้งสองมาตรการมีระยะเวลาให้บริการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึง 31 ธันวาคม 2563 คาดว่าจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ราว 15,700 ล้านบาท ช่วยให้เกิดการจ้างงานในระบบ 5,200 ราย เพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้ของผู้ส่งออก SMEs ได้กว่า 750 ราย ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ในห่วงโซ่มูลค่าการส่งออก (Export Value Chain) ได้รับการบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนการดำเนินกิจการ รวมทั้งใช้โอกาสนี้ปรับปรุงสินค้าและบริการเพื่อให้การส่งออกแข่งขันได้ดีขึ้นในอนาคต
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ปัจจุบันที่การส่งออกของประเทศในหลายภูมิภาคทั่วโลกมีทิศทางหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและผลพวงจากสงครามการค้า การส่งออกของไทยปี 2562 ก็มีแนวโน้มจะหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยคาดว่าจะหดตัว 2.0% แต่การส่งออกของไทยยังได้รับผลกระทบน้อยกว่าอีกหลายประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ที่ตั้งแต่ต้นปี 2562 หดตัว 10.7% อินโดนีเซียหดตัว 7.8% มาเลเซียหดตัว 5.0% ญี่ปุ่นหดตัว 4.6% และคาดว่าการส่งออกของไทยในปี 2563 น่าจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งที่ 0-2% EXIM BANK จึงได้ออกมาตรการในปลายปี 2562 นี้ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคการส่งออก ยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะประคองกิจการและไม่หยุดพัฒนากิจการให้เติบโตยิ่งขึ้น สามารถแข่งขันได้ภายใต้มาตรการทางการค้าต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ภาคการส่งออกไทยกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในปี 2563 โดยอาศัยจุดแข็ง 3 ประการ ได้แก่ 1. ศักยภาพของสินค้าไทยที่ทนต่อแรงเสียดทานจากความไม่แน่นอนได้ดี ทั้งสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่ได้มาตรฐานสากล และสินค้าที่ตอบสนองเมกะเทรนด์โลก รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ในแต่ละช่วงวัยได้ อาทิ สินค้าเครื่องสำอาง เครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ 2. การกระจายตลาด ปัจจุบันผู้ส่งออกไทยสร้างสมดุลการส่งออกไปตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ได้ดี ทำให้สินค้าไทยบางรายการได้อานิสงส์จากการแทนที่สินค้าจีน อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในครัวเรือน ขณะที่สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอาหารของไทยสามารถเข้าตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของญี่ปุ่นในปี 2563 ขณะเดียวกัน ไทยก็มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 50% ไปตลาดใหม่ อาทิ อินเดีย เวียดนาม ฮังการี โปแลนด์ ไนจีเรีย โมร็อกโก และเม็กซิโก รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ขยายตัวกว่า 5% ผู้บริโภคโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวมีกำลังซื้อมากขึ้น และยังมีความต้องการสินค้าไทยอีกมากในตลาดเหล่านี้ 3. การลงทุนเพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่ๆ เพื่อส่งออกมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการลงทุนของต่างชาติในไทยและการลงทุนของนักลงทุนไทยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีแก่นักลงทุน ทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีมูลค่าหรือนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
“EXIM BANK ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ในครั้งนี้เพื่อเร่งเยียวยาความเดือดร้อนของผู้ส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ที่มีจำนวนมากและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาวะที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เพื่อช่วยให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจได้อย่างไม่สะดุด ไม่สั่นคลอนจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาจนกระทบการจ้างงาน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคครัวเรือนของไทย ขณะเดียวกันก็เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาการผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการของไทยตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่าให้ได้มาตรฐานสากล นำไปสู่การเติบโตของภาคธุรกิจ SMEs ที่แข่งขันได้มากขึ้นตามเทรนด์และทิศทางการค้าโลก มีส่วนแบ่งการตลาดที่มั่นคงและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจได้มากขึ้น เป็นฐานรากที่เข้มแข็งของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน” นายพิศิษฐ์กล่าว
Post Views: 633