KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี แต่สำหรับในปีนี้จะพิเศษและเข้มข้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นการสัมมนาแบบนิวนอร์มอลครั้งใหญ่แห่งปีตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาระดมทัพขุนพลด้านการเงินและการลงทุนระดับแนวหน้าจากทั้งในและต่างประเทศร่วมวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เพื่อชี้ช่องทางให้กับลูกค้าคนสำคัญของกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดยเริ่มเปิดม่านโอกาสการลงทุนครั้งใหม่ที่ทรงพลังเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาในหัวข้อ Global Outlook “A Powerful Restart” ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และพันธมิตร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก BlackRock มาเผยมุมมองเศรษฐกิจโลกในภาพใหญ่ ตลอดจนแนวโน้มการลงทุนที่น่าสนใจ น่าจับตา และควรจับจองโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดก่อนใคร
ตลอดปีที่ผ่านมาจนถึงครึ่งปีแรกนี้นักลงทุนต้องพบกับความท้าทาย และมีหลากหลายปัจจัยรุมเร้าจนยากต่อการคาดการณ์หรือเริ่มต้นการลงทุนในครึ่งปีหลัง ซึ่งคุณเบน พาวเวล (Ben Powell) CFA, Managing Director, BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก มองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั้นกำลังจะดีขึ้นเนื่องจากการเข้าถึงวัคซีนที่มากขึ้นทั่วโลก และเชื่อว่าจะเป็นการเดินหน้าสู่การรีสตาร์ทครั้งใหม่ หลายประเทศส่งสัญญาณว่าประชาชนเริ่มออกมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา และหลายธุรกิจฟื้นตัวอีกครั้งโดยมีนโยบายทางการเงินมาสนับสนุน และดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนถึงสภาวะที่ยังมีโอกาสดีๆ ซ่อนอยู่
สำหรับมุมมองของนักลงทุนระดับโลกที่มีต่อทิศทางการลงทุนในครึ่งปีหลังนั้น ผู้บริหาร BlackRock เผยว่ารูปแบบการลงทุนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการกลับมารีสตาร์ทเศรษฐกิจ และดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำคือ หุ้น (Equities) ที่มีผลตอบแทนคาดหวังสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆ ที่อยู่ในบริบทเดียวกัน อีกตราสารหนี้เอกชนต่างๆ ก็ยังเป็นส่วนการลงทุนที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน ส่วนแนวโน้มที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน คาดว่านโยบายทางการเงินจะยังไม่ปรับเปลี่ยนจนกว่าจะรอให้คนมั่นใจที่จะกลับไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นก่อน ส่วนความเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลังนั้น เขายกให้เรื่อง ผลตอบแทนจากการลงทุนที่น้อยเกินไปหากยังเลือกลงทุนในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนต่ำเช่น พันธบัตร ซึ่งนักลงทุนควรมองหารูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่ความเสี่ยงลดลงมา แต่ยังให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ นั่นคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ตัดภาพมาที่บรรยากาศการลงทุนในบ้านเรา แน่นอนว่าหลายคนยังวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและยังมีความตึงเครียดอยู่ ถึงแม้การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 2 แต่มีข้อกังวลกรณีที่มีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากแม้จะฉีดวัคซีนไปเยอะแล้ว อีกทั้งยังพบว่าการระบาดรอบใหม่ทำให้เกิดภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน ทั้งการเดินทาง การจับจ่ายใช้สอย และความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ แต่ถึงอย่างนั้น คุณวิน
พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่าไทยยังมีโอกาสในการลงทุนสอดรับกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
จากข้อมูลของ Krungsri Research มองว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะฟื้นตัวชัดเจน ทั้งภาคการผลิต และภาคบริการ ซึ่งตัวเลข Global Composite PMI ขึ้นมาสูงสุดในรอบ 15 ปี ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโตอยู่ที่ 2% ขณะเดียวกันจากการคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก (Base Case) โดยจะขึ้นสูงสุดในช่วงสิงหาคม สะท้อนถึงความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะคึกคักในช่วงไตรมาส 3 ด้วยเช่นกัน และจากนั้นก็น่าจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำ 100 อีกครั้งเมื่อพ้นกลางตุลาคมนี้ไปแล้ว นอกจากนั้น Krungsri Global Markets ยังคาดว่า เงินบาทจะอ่อนค่าอีกเล็กน้อยก่อนจะกลับทิศเป็นแข็งค่า คาดหมายจะอยู่ที่ 31.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯในสิ้นปีนี้
สำหรับทิศทางการลงทุนของไทยก็จะมีแนวโน้มสอดรับกับระดับโลกเช่นกัน โดยหากมองในระยะยาว หุ้นยังอยู่ในขาขึ้น แต่เชื่อว่าระยะสั้นตลาดมีโอกาสปรับฐาน ดังนั้นนักลงทุนควรใช้โอกาสนี้ซื้อและลงทุนเพิ่ม และระหว่างที่ยังถือเงินสดอยู่ในมือ ควรใช้เวลานี้ในการเลือกสรรกองทุนไว้ก่อน โดยรูปแบบการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นยุโรป (European Equity) ซึ่งคาดว่าการฉีดวัคซีนได้เร็วจะทำให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตามรอยสหรัฐอเมริกา และน่าจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของ Earnings Growth ที่โตถึง 33% อีกทั้งการวิเคราะห์ของ BlackRock ยังคาดว่า European EQ จะเป็น The Best Performer ในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดยยกตัวอย่างกองทุนที่น่าจับตามอง อย่าง KF-HEUROPE บริหาร Master Fund โดย Allianz Global Investors
นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ซึ่งคาดการณ์ว่า Global REITs จะกลับมา Outperform หุ้นโลกด้วยธีม Recovery เนื่องจากธุรกิจที่เคยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่าง ค้าปลีก โรงแรม และการท่องเที่ยวกำลังจะฟื้นตัวนั่นเอง และถ้าพุ่งเป้ามาที่ Thai REITs ผู้บริหารกรุงศรีเผยว่า ยังมีราคาปรับขึ้นช้ากว่าตลาดโดยรวมเมื่อเทียบกับ SET และ Global REITs แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้อยู่ เพราะจากสถิติย้อนหลัง 40 ปี พบว่า ในภาวะเศรษฐกิจฟื้น เงินเฟ้อ และ Bond Yield ปรับขึ้น REITs ก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Apartments และ Office ที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อด้วย
และอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนที่คลาสสิกที่สุด อย่าง ทองคำ (Gold) ก็ยังเป็นที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน โดยราคาทองคำมักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับ Dollar Index และตรงข้ามกับ Real Yield ซึ่งเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะใช้ทองคำเป็นการลงทุนทางเลือก กระจายความเสี่ยง และสำหรับผู้ที่สนใจทองคำ ผู้บริหารกรุงศรียังได้แนะนำกองทุน KF-GOLD และ KF-HGOLD ซึ่งทั้ง 2 กองทุนลงทุนใน SPDR Gold Trust เหมือนกัน ต่างกันที่การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนั้นยังมีประเด็นคำถามที่นักลงทุนให้ความสนใจสอบถามผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางในการปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้นปลายปี 2565 รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราภาษีที่อาจจะกระทบกับหุ้นสหรัฐเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถึงแม้หุ้นจีนจะน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ควรเร่งรีบ ต้องรอจังหวะเวลาเพราะยังไม่มีนโยบายการเงินมาซัพพอร์ตโดยตรง อีกทั้งยังพูดถึงโครงการ Phuket Sandbox นับเป็นการรีสตาร์ทความหวังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทยได้จริง ทั้งกระตุ้นการจ้างงาน และส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม เป็นต้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Global Outlook “A Powerful Restart” หัวข้อแรกของ KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series คือ “เชื้อไฟ” ที่สามารถจุดพลังความเชื่อมั่นในการลงทุนในช่วงครึ่งปีได้แล้ว แต่ยังมีอีก 3 หัวข้ออย่าง วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย จัดพอร์ตครึ่งปีหลังต้อนรับการเปิดประเทศ และ ESG: The Future of Sustainability Investments นักลงทุนไม่ควรพลาดที่จะนำข้อมูลทรงพลังเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในพอร์ตของตัวเอง ซึ่งลูกค้ากรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ และนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและลงทะเบียนเข้าร่วมรับฟังสัมมนาออนไลน์สุดยิ่งใหญ่กลางปีนี้ได้ตลอดทั้งเดือนกรกฎาคมนี้