เดอะวิสดอมกสิกรไทย จัดสัมมนา ‘THE WISDOM Wealth Decoded’ ครั้งที่ 4 เจาะลึกการบริหารจัดการด้ านภาษียุคใหม่ โดย อาจารย์ชินภัทร วิสุทธิแพทย์ Partner: One Law Office ผู้เชี่ยวชาญด้านบริ หารจัดการสินทรัพย์ และวางแผนภาษี และนางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านบริ หารจัดการภาษีมรดกและการส่งต่ อความมั่งคั่งจึงมีความสลับซั บซ้อนมากขึ้นจากการปรับเปลี่ ยนทั้งมาตรการ ข้อกำหนด และกฎหมายทั้งในประเทศและต่ างประเทศ พร้อมเจาะลึก 4 กลยุทธ์ ‘Exit Strategy’ ในการบริหารจัดการภาษี มรดกและวางแผนส่งต่อมรดก ได้แก่ 1) บริษัทโฮลดิ้ง 2) ประกันชีวิต 3) พินัยกรรม และ 4) ธรรมนูญครอบครัว เพื่อให้การวางแผนส่งต่อความมั่ งคั่งเกิดประโยชน์สูงสุดให้กั บคนรุ่นต่อไปรับมือข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมู ลบัญชีทางการเงินระหว่างประเทศ – CRS ตรวจสอบภาษีข้ามพรมแดน
]อาจารย์ชินภัทร กล่าวว่า ประเทศไทยได้ลงนามความร่วมมือกั บองค์การเพื่อความร่วมมื อทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-Operation and Development: OECD) เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีข้ ามพรมแดน โดยมีสัญญาระหว่างประเทศที่ กำหนดกรอบการแลกเปลี่ยนข้อมูลบั ญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติของ OECD ที่เรียกว่า Common Reporting Standard (CRS) กับประเทศคู่สั ญญาตามความตกลงระหว่างประเทศ กรมสรรพากรในแต่ละประเทศสมาชิ กคู่สัญญากว่า 150 ประเทศจะมีการส่งข้อมู ลทางการเงินของผู้มีถิ่นที่อยู่ ทางภาษีในประเทศไทย (Thai Tax Resident) ให้กับประเทศคู่สัญญา ขณะเดียวกัน คนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ กรมสรรพากรของประเทศนั้น ๆ ก็จะส่งข้อมูลทางการเงินอัตโนมั ติกลับมาให้ประเทศไทย เช่น บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มี “ถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย” มีการออกไปลงทุนหรือตั้งบริษั ทในต่างประเทศ และไม่ได้มีการนำรายได้กลับเข้ ามาในประเทศ กลุ่มนี้อาจจะได้รั บผลกระทบและจำเป็นต้ องวางแผนภาษีรองรับเกณฑ์ดังกล่ าวด้วย ยกตัวอย่างสิงคโปร์ ที่มีกฎหมายส่งเสริมให้จัดตั้ง Singapore Variable Capital Company (VCC) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ออกแบบเพื่ อใช้ในธุรกิจการจัดการ Wealth ในสิงคโปร์ ซึ่ง VCC ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ CRS ในการรายงานข้อมูลทางการเงิ นของนักลงทุนต่างชาติให้กับหน่ วยงานภาษีของสิงคโปร์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่ วยงานภาษีของประเทศต่างๆ
4 กลยุทธ์ ‘Exit Strategy’ วางแผนภาษีมรดก ส่งต่อความมั่งคั่งอย่างมั่นคง
อาจารย์ชินภัทร ให้คำแนะนำว่า การวางแผนภาษีมรดกเป็นส่วนสำคั ญของการวางแผนการเงินและการสื บทอดทรัพย์สิน เจ้าของทรัพย์สินและผู้ได้รั บมรดกสามารถวางแผนเพื่อใช้สิทธิ ประโยชน์ด้านภาษีอย่างมีประสิ ทธิภาพ โดยทรัพย์สินมรดก แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคาร 2) หุ้นหรือหลักทรัพย์ รวมทั้งสินทรัพย์ดิจิทัล 3) เงินฝากในสถาบันการเงิน และ 4) ยานพาหนะที่จดทะเบียน ส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ต้องเสี ยภาษีการรับมรดกมีอยู่ หลายประเภท เช่น เงินค่าสิ นไหมทดแทนจากการทำประกันชีวิต ทองคำแท่ง ธนบัตร เครื่องเพชร ของสะสมต่างๆ เช่น ภาพเขียน นาฬิกา การบริหารจัดการภาษีมรดกพร้อมส่ งต่อความมั่งคั่ง สามารถทำได้ใน 4 รูปแบบ ซึ่งสามารถผสมผสานควบคู่กั บการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อให้แผนตอบโจทย์ความต้องการ และเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้รั บประโยชน์ โดย รูป
แบบที่ 1 คือ การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่ งเป็นรูปแบบที่นิยมสำหรับธุรกิ จครอบครัว ด้วยการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่ อถือหุ้นบริษัทในเครือ หรือถือครองทรัพย์สิน โดยมีรายได้คือเงินปั นผลจากการถือหุ้นในบริษัทอื่ นเป็นหลัก ไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตนเอง อาจเป็นการลงทุนทั้งบริษั ทในไทยและต่างประเทศก็ได้ โดยรายได้จะอยู่ในรูปของเงินปั นผล ซึ่งจะเป็นส่วนที่ได้รั บการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากเงินจำนวนนี้ได้มี การเสียภาษีมาแล้วในนามของบริษั ทในเครือ ถ้ามีการเก็บภาษีอีกรอบ จะเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อน
นางสาวอุมาพันธุ์ กล่าวต่อถึงการส่งต่อความมั่งคั่ งรูปแบบที่ 2 คือ การทำประกันชีวิต ซึ่งเป็นอี กหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ ในการวางแผนมรดก และที่สำคัญคือ การบริหารความเสี่ยง โดยระบุผู้รับประโยชน์ ในกรมธรรม์เป็นทายาทที่ต้ องการมอบทรัพย์สินก้อนสุดท้ ายไว้ให้ ซึ่งสินไหมมรณกรรมที่ได้ จากประกันชีวิตจะได้รับยกเว้ นภาษี นอกจากนี้ผู้รับประโยชน์ยังได้ รับเงินอย่างรวดเร็วเมื่อผู้ เอาประกันเสียชีวิต เพราะเงินประกันไม่ถูกรวมเข้ากั บกองมรดก จึงสามารถจ่ายให้แก่ผู้รั บมรดกได้เลยโดยไม่ต้องรอการจั ดการมรดก สิ่งหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจส่ วนใหญ่มองข้ามคือ การใช้ประกันชีวิตในการวางแผนธุ รกิจ ด้วยการทำประกันชีวิตให้กับผู้ บริหารหลักของบริษัท โดยค่าเบี้ยประกันสามารถนำไปหั กเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี เงินได้นิติบุคคลได้ เป็นการลดความเสี่ยงทางธุรกิจถ้ าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
คำแนะนำในการใช้ประกันชีวิตเพื่ อบริหารจัดการภาษี ซึ่งสามารถทำได้ 4 รูปแบบ คือ
1) 11.การส่งต่อทรัพย์สินส่วนเกิ นที่ต้องเสียภาษี คือ การแบ่งเงินก้อนส่วนที่ต้องเสี ยภาษีมาอยู่ในรูปกรมธรรม์ประกั นชีวิต และส่วนที่ไม่เกิน สามารถนำลงทุนอย่างอื่นได้ อาทิ การใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี สูงสุด เช่น มีทรัพย์สิน 200 ล้านบาท ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 5% สำหรับทรัพย์มรดก 100 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาท ให้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต โดยมีทุนประกัน 100 ล้านบาท ถือว่าได้ให้มรดกกับผู้รั บประโยชน์ 100 ล้านบาทแล้ว เพราะสินไหมจากการทำประกันไม่จั ดเป็นทรัพย์มรดกที่เจ้ามรดกมี ไว้ก่อนตาย จึงไม่ต้องนำไปรวมกับมรดก และไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก
2.การทำทุนประกันชีวิตเพื่ อชำระภาษีมรดก ภาษีที่ดิ นในอนาคต ซึ่งเหมาะกับคนที่มีที่ดินเยอะๆ
3) 3.การแบ่งมรดกเท่าเทียม คือ สร้างมรดกให้ทายาทคนที่ไม่ได้รั บกิจการ โดยใช้ประกันสร้างมรดกชดเชยให้ คนที่ได้สัดส่วนน้อยหรือไม่ได้ สิทธิเป็นเจ้าของ
4) 4.สร้างมรดกก้อนใหญ่ ใช้เงินน้อย คือ การใช้ประกันสร้างมรดกให้บุ ตรหลานแต่ละคนเท่ากัน ด้วยการจ่ายค่าเบี้ยประกันซึ่ งมีวงเงินไม่สูง และเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้จ่ ายในชีวิต
สำหรับรูปแบบที่ 3 คือ การทำพินัยกรรม เพื่อจัดสรรปั นส่วนทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนเสี ยชีวิตให้แก่บุคคลที่ต้องการ เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากและต้ องทำอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้ นในภายหลัง การทำพินัยกรรมจะมีภาษีที่เข้ ามาเกี่ยวข้อง คือภาษีการรับมรดก ตามกฎหมายมรดกของประเทศไทยพินั ยกรรมมีอยู่ 5 แบบ คือ 1) พินัยกรรมแบบธรรมดา 2) พินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ 3) พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมือง และ 4) พินัยกรรมทำเป็นเอกสารลับ 5) พินัยกรรมทำด้วยวาจา (แต่ไม่สามารถใช้ได้ในความเป็ นจริงเพราะไม่มีสงคราม) ซึ่งสามารถทำพินัยกรรมให้กั บใครก็ได้ที่เป็น “บุคคล” ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยธรรม หรือทายาทโดยพินัยกรรรมในการรั บมรดก และสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามความเหมาะสมเมื่อเวลาผ่านไป
รูปแบบที่ 4 คือ ธรรมนูญครอบครัว ควรต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า ทำเพื่ออะไร และทำเพื่อใคร เพราะธรรมนูญครอบครัว เป็นการบริหารทรัพย์สินของกงสี ซึ่งเป็นเอกสารของครอบครัวที่ต้ องวางหลักการ กฎ กติกา ของสมาชิกในครอบครัวให้ชัดเจน โดยธรรมนูญครอบครัวจะไม่มีผลผู กพันทางกฎหมาย แต่ต้อง “เชื่อมโยง” กฎหมาย และ “สัมพันธ์” ภาษีให้ใช้งานได้จริง และสามารถกำหนดกระบวนการจั ดการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดความขัดแย้งภายในครอบครั ว และส่งผลทำให้ธุรกิจของครอบครั วเติบโตได้อย่างมั่นคง ทั้ง 4 กลุยทธ์นี้จึงเป็น Exit Plan ของการวางแผนบริหารจั ดการมรดกและภาษีมรดกให้ได้ ประโยชน์สูงสุดตั้งแต่ต้นน้ำยั นปลายน้ำ เพื่อส่งต่อความมั่งคั่งที่ยั่ งยืนให้กับคนรุ่นหลังต่อไป
สำหรับแบบประกันที่จะเป็นตัวช่ วยในการวางแผนส่งมอบมรดก ตามรูปแบบที่ได้กล่าวมาข้างต้น เดอะวิส ดอม กสิกรไทย ขอแนะนำ ประกันชีวิต พรีเมียร์ เลกาซี่ ที่จะช่วยส่งต่อความมั่งคั่ งจากรุ่น…สู่รุ่น อย่างไม่สะดุด ช่วยให้คุณวางใจได้ว่า สามารถส่งมอบหลักประกันครอบครั วสู่คนที่รักอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพูนความมั่งคั่ง และคลายกังวลเรื่องภาษีมรดกที่ อาจเกิดขึ้น ตอบโจทย์เรื่องการส่งต่อมรดกได้ เป็นอย่างดี เพราะทุนประกันสูง เริ่มต้นตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และสามารถทำทุนประกันได้สูงสุ ดถึง 500 ล้านบาทเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีข้อดีคือ
· ให้ความคุ้มครองชีวิตสูง คุ้ มครองตั้งแต่วันแรกที่กรมธรรม์ อนุมัติ ยาวนานถึงอายุ 99 ปี
· จ่ายเบี้ยสั้นหรือยาว เลือกเองได้ เลือกชำระเบี้ยครั้งเดียว 5 ปี 10 ปี หรือ จ่ายถึงครบอายุ 99 ปี
· ส่งมอบหลักประกันให้ครอบครัว ได้ตามเจตนารมณ์ที่ต้องการ
· ช่วยบริหารภาษีได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ สินไหมมรณกรรมไม่ถือเป็ นมรดก ไม่มีภาระทางภาษี
· ค่าเบี้ยลดหย่อนภาษีได้ สูงสุด 100,000 บาท ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
การส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่ นลูกรุ่นหลานหรือคนที่เรารักเป็ นเรื่องใกล้ตัวที่ควรวางแผน เพื่อให้มั่นใจว่าหากเราไม่อยู่ แล้ว คนที่เรารักจะสานต่อสิ่งที่ เราได้สร้างไว้ให้หรือได้ใช้ ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เราตั้ งใจมอบไว้ให้กับเขาอย่างแท้จริง
คำเตือน
– -ผู้ซื้อควรทำความเข้ าใจในรายละเอียดความคุ้ มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสิ นใจทำประกันภัยทุกครั้ง
– -เป็นกรณีกรมธรรม์ไม่ได้ระบุผู้ รับประโยชน์หรือระบุไว้แต่เสี ยชีวิตก่อนหรือพร้อมกับผู้ เอาประกันภัย ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะตกแก่ กองมรดกของผู้เอาประกันภัย