ธนาคารกรุงไทย ขานรับมาตรการภาครัฐ เร่งบรรเทาความเดือดร้อนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ ออกมาตรการเพิ่มเติม โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR MLR และ MOR 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.-15 พ.ย.67 ให้กับลูกค้ากลุ่มเปราะบางกว่า 3 แสนบัญชี วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ให้มีโอกาสปรับตัวและฟื้นตัว
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยพร้อมสนับสนุนแนวนโยบายของภาครัฐในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตามแนวทางของสมาคมธนาคารไทยในการลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ SME รายย่อย และแนวทางการแก้อย่างหนี้ยั่งยืนและการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารจึงมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR MLR และ MOR 0.25% ต่อปี เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 พฤศจิกายน 2567 ให้กับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ลูกค้าสินเชื่อบุคคลรายย่อยที่ยังอยู่ในมาตรการความช่วยเหลือของธนาคารฯ ทั้งสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อส่วนบุคคล 2.ลูกค้าสินเชื่อบ้านที่มีวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท และ 3. ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ SME รายย่อยที่มีรายได้กิจการต่อเดือนไม่เกิน 2 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากมาตรการดังกล่าว ธนาคารสามารถช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าได้มากกว่า 3 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมมากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้อัตโนมัติสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบางทั้ง 3 กลุ่มที่มียอดสินเชื่อกับธนาคาร ณ 31 มีนาคม 2567 โดยลูกค้าไม่ต้องลงทะเบียน หรือติดต่อธนาคารแต่อย่างใด
“ธนาคารเล็งเห็นความเดือดร้อนของลูกค้ากลุ่มเปราะบางทุกกลุ่ม จึงมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมออกมาในครั้งนี้ จากก่อนหน้านี้ ธนาคารได้ออกมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการ “สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มข้าราชการลดภาระทางการเงิน โดยมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางครั้งนี้ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ให้มีโอกาสฟื้นตัว ปรับตัว ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่มีทั้งมาตรการระยะสั้นรองรับการเปลี่ยนผ่าน และมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและการสร้างรายได้ที่พอเพียงและยั่งยืน”