กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.15-30.40 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.22 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงไร้ทิศทางชัดเจน ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 3.1 พันล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 4.3 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการขายพันธบัตรอายุมากกว่า 1 ปี
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ในสัปดาห์นี้จุดสนใจจะยังคงอยู่ที่กระแสข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงบันทึกการประชุมครั้งล่าสุดของเฟดหลังประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการปรับดอกเบี้ยจนกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังประธานเฟดแถลงต่อสภา และประเมินเศรษฐกิจในเชิงบวกโดยระบุว่ายังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงภาวะตกต่ำ แม้จะมีความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้า ขณะที่ดัชนีความผันผวนยังต่ำลงต่อเนื่องส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ต้นสัปดาห์สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2562 ขยายตัวเพียง 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 2.6% รวมถึงตัวเลขส่งออกเดือน ต.ค. ที่จะประกาศในช่วงปลายสัปดาห์ซึ่งคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง ทางด้านธปท.กล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ไม่ใช่ข้อจำกัด โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคำนึงถึงข้อมูลและสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ขณะที่การลดดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. เป็นการตัดสินใจก่อนที่สภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสาม สะท้อนว่าทางการเห็นสัญญาณก่อนแล้วว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ขณะที่คาดว่าในการประชุมกนง.เดือน ธ.ค.จะมีการลดประมาณเศรษฐกิจในปี 2562 และ 2563 นอกจากนี้ ธปท.กังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก โดยพร้อมที่จะเข้าดูแลตามความเหมาะสม ส่วนผลของการออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออกเพิ่มเติมอาจต้องใช้เวลา ขณะที่การดูแลเงินทุนไหลเข้านั้น ธปท.ติดตามอย่างต่อเนื่องซึ่งยังค่อนข้างปกติ เรามองว่ากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายยังคงมีลักษณะสลับกันเข้าออกไปมาระหว่างตลาดหุ้นและพันธบัตรซึ่งน่าจะส่งผลให้เงินบาทย่ำฐานอยู่ในกรอบ นอกจากนี้ แม้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สดใสต่อเนื่องแต่ความต้องการสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอาจถูกบดบังจากเหตุการณ์ในฮ่องกงที่รุนแรงมากขึ้น