กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 36.50-37.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 36.72 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 36.30-36.85 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 สัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อดอลลาร์ในตลาดโลก เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯสูงขึ้น กดดันค่าเงินเยนสู่ระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 24 ปีครั้งใหม่ โดยตลาดเลือกที่จะตอบรับข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกของสหรัฐฯมากกว่าข้อมูลเชิงลบและคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 75bp ในการประชุมเดือนนี้ อีกทั้งนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจจีนหลังมีการประกาศล็อคดาวน์อีกครั้ง ทางด้านค่าเงินยูโรได้แรงหนุนในช่วงแรกขณะที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ส่งสัญญาณสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว และราคาก๊าซธรรมชาติร่วงลง อย่างไรก็ดี ท้ายชั่วโมงการซื้อขายก่อนปิดสัปดาห์เงินยูโรอ่อนค่าลงจากข่าวรัสเซียปิดซ่อมบำรุงท่อก๊าซอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายหุ้นไทยสุทธิ 315 ล้านบาท และมียอดขายพันธบัตร 4,515 ล้านบาท โดยเกิดจากตราสารหนี้ครบอายุเป็นหลัก
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรีคาดว่าตลาดจะติดตามดัชนี ISM ภาคบริการเดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ และการประชุมอีซีบีซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 75bp จากระดับ 0% ในวันที่ 8 กันยายน ขณะที่ตำแหน่งการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเกินคาด แต่เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมนักลงทุนเชื่อว่าเฟดจะยังไม่ผ่อนคันเร่งในการขึ้นดอกเบี้ยในเวลานี้ ซึ่งสอดคล้องกับสุนทรพจน์ของประธานเฟดในงานสัมมนาวิชาการที่เมือง Jackson Hole และความเห็นจากเจ้าหน้าที่เฟดอีกหลายรายที่ปูทางสู่การคุมเข้มนโยบายอย่างดุดันต่อไปเพื่อจัดการกับภาวะเงินเฟ้อสูง เราประเมินว่าในภาวะเช่นนี้ประกอบกับวิกฤติพลังงานในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ค่าเงินดอลลาร์จะยังคงได้แรงหนุนต่อไปในระยะสั้น
สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมจะเป็นจุดสูงสุดและจะทยอยโน้มต่ำลง ส่วนในเดือนกรกฎาคมไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 4.1 พันล้านดอลลาร์ อนึ่ง ธปท.คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะพลิกกลับมาเกินดุลตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินจะพิจารณาบริบททางเศรษฐกิจของไทยเป็นสำคัญ