ณ อาคารเอ็กซิบีชั่น ฮอลล์ 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน “ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” จัดโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เพื่อเผยแพร่ความสำเร็จในการดำเนินงานของกองทุนฯ ตลอดระยะเวลา 20 ปี พร้อมมอบรางวัลให้กับสมาชิกกองทุนต้นแบบ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และเป็นตัวอย่างแก่สมาชิกให้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีต่อไปในอนาคต โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เข้าร่วมด้วย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมกับชื่นชมสมาชิกกว่า 13 ล้านคน ที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานในระดับพื้นที่อย่างเต็มศักยภาพจนกระทั่งเห็นผลสำเร็จ คือ ชุมชนมีรายได้เสริมหมุนเวียนในพื้นที่ ประชาชนในชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลจะช่วยผลักดันและสนับสนุนกิจกรรมของกองทุนฯ ผ่านการจัดสรรงบประมาณการดำเนินโครงการตามแนวทางสร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง ส่งเสริมกองทุนฯ ให้เดินหน้าสู่ความเข้มแข็ง ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีการให้เท่าทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาลพร้อมให้เครื่องมือสนับสนุน เพื่อพี่น้องทุกคนอยู่ดีกินดี มีอาชีพที่มั่นคง และมีความสุขอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทำการปักธงสัญลักษณ์เปิดงาน แสดงถึงความสำเร็จของการดำเนินงานกองทุนฯ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และพร้อมสานต่อความสำเร็จสู่ทศวรรษที่ 3 เพื่อให้ประชาชนในชุมชนทั่วไทยมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตทุกด้าน ผ่านการสนับสนุนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมตลาดกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจากทั่วประเทศรวมถึงนิทรรศการ 3S “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง ให้ความรู้แนวทางนโยบายแก้จน สร้างงาน สร้างเงินในอนาคต เช่น โครงการภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจ BCG โมเดล 4 ด้าน (เกษตร-อาหาร, พลังงาน-วัสดุ, สุขภาพ-การแพทย์ และ ท่องเที่ยว) โครงการ ข้าวรักษ์โลก เกษตรอัจฉริยะ และโครงการโคนำร่องสู่โครงการ “โคล้านครอบครัว”
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ดําเนินการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากมากมายหลายโครงการ และวันนี้รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาปากท้องของสมาชิกกองทุนเป็นอันดับ 1 จึงได้จัดทำโครงการ “โคล้านครอบครัว” เพื่อสร้างอาชีพให้กับพี่น้องสมาชิกกองทุน โดยได้จัดสรรงบประมาณและเจรจากับธนาคารเพื่อขอให้ปล่อยสินเชื่อไปยังกองทุนหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกกองทุนสามารถกู้ยืมซื้อโคแม่พันธุ์ได้ 2 ตัว/ครัวเรือน ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท ปลอดดอกเบี้ยระยะเวลา 3 ปี ซึ่งแม่โคใช้เวลา 1 ปี สามารถให้ผลผลิตเป็นลูกโค จากนั้นลูกโคยังสามารถให้ผลผลิตได้อีกต่อเนื่อง คาดว่าภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี สามารถขยายพันธุ์โคได้เฉลี่ย 6 ตัว สร้างรายได้กว่า 150,000 บาท/ปี “ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มทวีคูณ” หากเลี้ยงดูดี ๆ ในระยะเวลา 6 ปี อาจสร้างรายได้หลักล้านให้แก่สมาชิก ส่วนสาเหตุที่เป็นการเลี้ยงโคนั้น เนื่องจากโคเป็นสัตว์เลี้ยงง่าย ทำได้เลย ทำได้จริง ไม่ต้องใช้ทักษะฝีมือ แต่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ นายอนุชาฯ กล่าวต่ออีกว่า การที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับภาคเกษตร เพราะถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเกษตรกร ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ คนกลุ่มนี้ต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุน และแนะแนวทางประกอบอาชีพที่ถูกต้องเหมาะสม จึงจะส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งนำไปสู่การสร้างชาติอย่างมั่นคงได้ ในขณะเดียวกันสมาชิกที่พร้อมก็ต้องมีการปรับตัวสู่การทำธุรกิจในยุคดิจิทัล เพื่อที่จะมีส่วนช่วยในการขยายโอกาสทางการค้า ให้สามารถสร้างรายได้เข้ากองทุนอย่างยั่งยืนได้อีกทางหนึ่ง
นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า งาน “ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” จัดขึ้น 3 วัน ตั้งแต่ 10-12 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งทาง สทบ. ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ สร้างอาชีพ เสริมทักษะอนาคตให้กับสมาชิก ภายในงานจึงมีการจัดกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้ด้านการเงิน การพัฒนาสินค้า และมีกิจกรรมเสริมทักษะด้านดิจิทัลสำหรับกองทุนคนรุ่นใหม่ โดยมีการแข่งขันทดลองขายสินค้าจริงหลังจากเรียนเสร็จ ชิงทุนการศึกษา 30,000 บาท เพื่อให้ได้ฝึกลงสนามจริง เตรียมความพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึง สทบ. ได้เชิญภาคีเครือข่ายกองทุนเข้าร่วมงาน อาทิ บริษัททิพยประกันภัย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กองทุนการออมแห่งชาติ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) การส่งเสริมด้านการบริหารจัดการขยะรีไซเคิลเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน (Community waste model)
นายเบญจพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในครั้งนี้มีสมาชิกกองทุนฯ ทั่วประเทศ เดินทางมาร่วมงานกว่า 4,000 คน โดยสมาชิกได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวคิดในการทำงาน ถือเป็นการรวมพลัง สร้างสามัคคี มีทัศนคติในการแบ่งปันสิ่งดีๆ ตามแนวทางการที่จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากเดินหน้าและประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกคนในชุมชนและทุกภาคส่วน เพื่อให้ทุกคนพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน สร้างชาติเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป