บมจ.แอสเซทไวส์ หรือ ASW ผนึกกำลังจับมือ ธนาคารยูโอบี (ไทย) ร่วมยกระดับอสังหาริมทรัพย์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนผ่านสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) สำหรับพัฒนาและสนับสนุนผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ด้านการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ ASW ภายใต้แนวคิด “GrowGreen” เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เดินหน้าติดตั้งแผงโซลาร์ Rooftop ผ่าน 4 โครงการ บนพื้นที่กว่า 2,711 ตารางเมตร ผลิตกระแสไฟฟ้าได้กว่า 511 กิโลวัตต์ ยกระดับคุณภาพชีวิตลูกบ้านและสร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจแบบยั่งยืนภายใต้แนวคิด “GrowGreen” เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จากธนาคารยูโอบี (ไทย) แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทั้งสององค์กรที่มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ASW มีความมุ่งมั่นสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนของประเทศไทยและทั่วโลก
บริษัทฯ มีแผนนำเงินจากสินเชื่อสีเขียวไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ในด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการติดตั้งแผงโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) บนหลังคา ซึ่งได้ดำเนินการติดตั้งมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วจำนวน 4 โครงการ โดยมีพื้นที่ติดตั้งแผงโซลาร์ Rooftop รวมกว่า 2,711 ตารางเมตร และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้กว่า 511 กิโลวัตต์ ประกอบด้วย
1). สำนักงานใหญ่ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) พื้นที่ 154 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน ส.ค. 2564 ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 32 กิโลวัตต์ โดยประมาณ
2). โครงการมิงเกิ้ล มอลล์ เคฟ ทียู (Mingle Mall ) ติดตั้งแผงโซลาร์(Solar Rooftop) พื้นที่ 724 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน ธ.ค. 2564 ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 150 กิโลวัตต์ โดยประมาณ
3). โครงการเคฟ ทียู (Kave TU) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) พื้นที่ 864 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน เม.ย. 2565 ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 178 กิโลวัตต์ โดยประมาณ
4.) โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) ขนาดพื้นที่ 969 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน มิถุนายน 2565 ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 150 กิโลวัตต์ โดยประมาณ
“ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการตอกย้ำจุดยืนของ ASW และ UOB ถึงการเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance) หรือ ESG ซึ่งบริษัทฯ วางแผนติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมุ่งออกแบบพื้นที่สีเขียวและยกระดับการดีไซน์ที่อยู่อาศัยเพื่อใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมาย ภายใต้แนวคิด “GrowGreen” เพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของลูกค้า ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG มุ่งเน้นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี” นายกรมเชษฐ์ กล่าว
คุณธาราวดี มนัสชินอภิสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ASW เป็นผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีพร้อมกับการมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ธนาคารยูโอบีมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการของ ASW และการดำเนินธุรกิจ GrowGreen ของ ASW ยังสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารยูโอบีที่มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงเงินทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ภายใต้กรอบแนวคิดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืนเพื่อเมืองอัจฉริยะ (Smart City Sustainable Finance Framework) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย
ทั้งนี้ ASW ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 44 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 46,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 32 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 12 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 9,218 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
Post Views: 187