ผมเชื่อว่าทุกท่านที่มาร่วมพบปะพูดคุย สนทนากันในวันนี้ มีความห่วงใยอนาคตของประเทศชาติและติดตามสถานการณ์บ้านเมืองด้วยความกังวลใจไม่ต่างไปจากตัวผมถึงปัจจุบันผมจะไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง แต่ผมยังติดตามข่าวสารและเหตุการณ์บ้านเมืองโดยตลอด ติดตามด้วยความห่วงใย ด้วยความหวังอยากเห็นประเทศชาติบ้านเมืองก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี มีสุข คนในชาติสมัครสมานสามัคคี ไม่แตกแยกกัน ตลอดหลายสิบปีที่ผมอยู่ในแวดวงการเมือง ทั้งในฐานะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้บริหารพรรคการเมือง ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติมาหลายยุคหลายสมัย ผ่านวิกฤตการณ์ ประสบด้วยตัวเองมาก็หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนจะสิ้นหวัง มืดมิด ไร้แสงสว่าง ไร้หนทาง เท่ากับวิกฤตการณ์ของชาติที่พวกเราคนไทยต่างประสบกันอยู่ในครั้งนี้

ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า “การเมือง” เป็นสิ่งดีงามและจำเป็นต่อสังคม คนที่เข้ามาสู่การเมืองก็ต้องทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประชาชน ถ้าต้องการเห็นบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง และประชาชนมีชีวิตที่ดีงาม การเมืองต้องดีงามด้วยเช่นกัน แต่การเมืองที่เราเห็นกันในวันนี้ เป็น “การเมืองสามานย์” ระบบการเมืองล้มเหลวในทุกระดับ ขาดจิตสำนึกที่ดีและขาดความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร อย่างที่เราเห็นกัน อภิปรายกันก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนหรือประเทศชาติบ้านเมือง แต่กลับใช้การอภิปรายเป็นเวทีต่อรองราคา ต่อรองตำแหน่ง ต่อรองอำนาจผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง จนกลายเป็นเทศกาลแจกกล้วย มีคนแจก มีคนรับ ทำกันมาหลายปีแล้ว ต่อเนื่องมาถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด แต่กลับเอามาย่ำยี ทำกันเหมือนเด็กเล่นขายของ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากบัตรใบเดียวมาเป็นบัตรสองใบ พอข้ามวัน อยากจะเปลี่ยนกลับมาเป็นบัตรใบเดียวอีกแล้ว เหมือนกับเรื่องสูตรการคำนวณ สส. ซึ่งไม่ว่าจะใช้สูตรหาร 100 หรือหาร 500 ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็นกันตอนนี้ ประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เป็นเรื่องของนักการเมือง ชิงไหวชิงพริบเพื่อเอาชนะกันในการเลือกตั้ง แย่งชิงอำนาจกันเองทั้งสิ้น

แม้กระทั่งการยุบสภาฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง เพราะถ้าปล่อยให้สภาฯ อยู่จนครบวาระ 4 ปี สส.ที่เป็นเป้าหมายจะดึงเข้ามาอยู่ในพรรค ก็จะย้ายเข้ามาไม่ได้ เพราะกฎหมายบังคับว่าจะต้องเป็นสมาชิกของพรรคก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน ถึงจะสมัคร สส.ได้ เพราะฉะนั้น ที่ไปดึงเอา สส.จากพรรคอื่นมาล่วงหน้าไว้แล้วก็จะสูญเปล่า จะขาดคุณสมบัติผู้สมัคร แต่ถ้ายุบสภาฯ ก็นับเวลาเป็นสมาชิกพรรคแค่ 30 วันก็สมัคร สส.ได้แล้ว ทุกอย่างวางแผนไว้เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องทั้งสิ้น แบบนี้ต้องเรียกว่า เป็น “ประชาธิปไตยสามานย์”  “ประชาธิปไตยจอมปลอม”  ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างที่พวกเราต้องการ ซึ่งอำนาจการบริหารบ้านเมืองเป็นของปวงชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  “ประชาธิปไตยของไทย” ล้มเหลวมาโดยตลอด ล้มเหลวตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น แทนที่จะช่วยสร้างความเจริญรุ่งเรือง แต่กลับใช้เป็นช่องทางแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ เป็นเหตุให้ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคมขยายตัวมากขึ้น คนไทยจำนวนมากยังใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หาเช้ากินค่ำ และมีแต่จะยากจนลงไปอีก แต่คนร่ำรวย มหาเศรษฐี ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย กลับครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก

กลุ่มทุนใหญ่และทุนต่างชาติก็มีอำนาจเหนือตลาด ผูกขาดและใช้อิทธิพลครอบงำระบบเศรษฐกิจของประเทศ ยังมีวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ซ้ำเติมความลำบากยากแค้นของประชาชนคนไทย ในขณะที่กระบวนการยุติธรรมก็ขาดความน่าเชื่อถือ การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่เป็นธรรม ไม่ได้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ วิกฤตการณ์ทางการเมืองตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะจบลงได้อย่างไรและด้วยวิธีใด ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งเสื้อแบ่งสี แบ่งแยกประชาชน จนกลายเป็นความแตกแยกของคนในชาติ คนไทยเข่นฆ่ากันเอง สังคมสิ้นหวังและหมดศรัทธากับระบบและโครงสร้างทางการเมืองซึ่งไม่ตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชน รวมถึงการทุจริตที่ฝังลึกในระบบการเมืองและระบบราชการจนยากจะแก้ไข และนับวันจะยิ่งโกงกินกันมากขึ้นจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันไปแล้ว การเลือกตั้งซึ่งเป็นต้นทางของประชาธิปไตย อย่างที่ทุกท่านทราบกัน ก็ได้แปรสภาพเป็นการประมูลประเทศ ซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันมาโดยตลอด จนกลายเป็นเรื่องปกติการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ก็คาดการณ์ได้ว่า จะไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมา ทราบมาว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีการลงทุนใช้เงินกันมหาศาล เพราะต่างฝ่ายต่างต้องแย่งชิงอำนาจกันเพื่อเป็นรัฐบาล เรียกได้ว่า แพ้ไม่ได้ ยอมกันไม่ได้ อย่างนี้ไม่ใช่ ประชาธิปไตย แต่เป็น “ธนาธิปไตย” หรือ ประชาธิปไตยสามานย์ ที่เงินกลายเป็นปัจจัยหลักในการเข้าสู่อำนาจรัฐ การเมืองจึงแปลงสภาพเป็น Money Politics คนที่มีอำนาจเงินจึงเป็นใหญ่ อยู่เหนืออำนาจของประชาชน

ด้วยเหตุนี้ การเมืองไทยจึงกลายเป็นธุรกิจการเมือง ที่กลุ่มทุนเข้ามาลงทุนเพื่อหวังเอาทุนคืน แสวงหาอำนาจ เอาผลกำไร จนเกิดการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร ระบบตรวจสอบและระบบคานอำนาจอ่อนแอ ฝ่ายค้านและภาคประชาชนอ่อนแอ จนเป็นที่มาของเผด็จการรัฐสภา แล้วก็จบลงด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจ กลายเป็นเผด็จการคณะใหม่ แล้วก็มาแสวงหาอำนาจหาผลประโยชน์ไม่ต่างกัน เป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ แล้วทำไม พวกเราประชาชนไทยซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย จึงได้วางเฉย ยอมรับ และยอมให้นักการเมืองซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยนิด เป็นผู้คุมกลไกอำนาจรัฐและสร้างระบบสามานย์มาครอบงำประเทศชาติและประชาชนได้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ประชาชนชาวไทยต้องกลายเป็น “ทาส” อีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่า  “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” พระมหากษัตริย์ของเรา ทรงประกาศเลิกทาสไปเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่ยุคนี้กลับมีนักการเมือง นายทุน มาสร้างระบบที่ทำให้ประชาชนกลับกลายเป็นทาสในรูปแบบใหม่อีกครั้ง ทำไมเราถึงยอมตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้กันได้ครับ ระบบสามานย์ การเมืองที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีแต่ความขัดแย้งแตกแยก แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ เพื่อตนเองและพวกพ้อง อย่างที่ทำกันมาตลอดหลายสิบปีนี้ กำลังนำประเทศชาติไปสู่หายนะและประเทศชาติจะล่มสลายในที่สุด

เพราะฉะนั้น ทางรอดจากความหายนะของประเทศไทย มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ  ต้องหลอมรวมประชาชนและต้องยึดถือผลประโยชน์ของชาติเหนือสิ่งอื่นใด ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่า ประเทศชาติจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยคนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองอย่างสงบสุขบนผืนแผ่นดินเดียวกันนี้ ถ้าเราถอดเสื้อต่างสีออกไป ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วสวมหัวใจดวงเดียวกัน ที่มีเลือดสีเดียว คือ สีของเลือดรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คนในชาติก็จะมีแต่ความสามัคคีในจิตใจเป็นที่ตั้ง ก่อให้เกิดพลังแผ่นดิน ผลักดันประเทศสู่ความสำเร็จและความมั่งคั่งของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ในทุกภาคส่วน จึงจะเป็นการปฏิรูปประเทศที่บรรลุผลอย่างแท้จริง

ประเทศไทยต้องปฏิรูปในทุกด้าน

ต้องปฏิรูปการเมือง โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ 3 ป. ซึ่งเป็นต้นตอของการสืบทอดอำนาจ แล้วสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชาพิจารณ์ จนถึงการลงประชามติประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

ต้องปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน โดยให้มีจังหวัดปกครองตนเอง มีการบริหารคล้ายกับกรุงเทพมหานคร ถ้าจังหวัดไหนพร้อม รัฐบาลก็อนุมัติให้เริ่มต้นได้เลย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ไม่ใช่โยกย้ายแต่งตั้งกันในระบบอุปถัมภ์ของกระทรวงหรือนักการเมือง จึงจะตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัดได้อย่างแท้จริง

ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยไม่ให้กลุ่มทุนในประเทศและกลุ่มทุนข้ามชาติมีอำนาจครอบงำกลไกตลาดและกลไกราคา และต้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการค้าและคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มทุนเอารัดเอาเปรียบประชาชน ในขณะเดียวกัน สัมปทานโครงการต่างๆ ของภาครัฐจะต้องไม่ใช่แหล่งเงินแหล่งทองของกลุ่มทุนกับนักการเมืองและข้าราชการ ที่สมคบกันสร้างระบบผูกขาด กลายเป็นเสือนอนกินภาษีของประชาชนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ต้องปฏิรูประบบยุติธรรม โดยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรมและยุติธรรมกับทุกฝ่าย องค์กรยุติธรรมไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศาล อัยการ และตำรวจ ต้องตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่มีการกล่าวหากันมาโดยตลอด

ต้องปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรด้านพลังงาน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ต้องสร้างระบบการจัดการของชาติที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ให้มีการแข่งขันเสรี การให้สัมปทานที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ให้กลุ่มทุนต่างชาติหรือกลุ่มรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจผูกขาดการจัดสรรทรัพยากรด้านพลังงานของชาติ การผลิตไฟฟ้าก็ต้องไม่อยู่ใต้อาณัติของกลุ่มทุนผูกขาด ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ค่าไฟแพงทั้งแผ่นดิน แต่บริษัทเอกชนที่ได้สัมปทานผลิตไฟฟ้าให้รัฐกลับมีแต่ร่ำรวยขึ้นทุกวัน การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรด้านพลังงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นทันที

ต้องปฏิรูปการต่างประเทศ โดยดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ชาญฉลาดในสถานการณ์ที่โลกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจากความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจโลกตะวันออกและมหาอำนาจโลกตะวันตก ประเทศไทยต้องไม่ใช่แค่วางตัวเป็นกลาง ที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย หรือไม่เป็นศัตรูกับฝ่ายใด แต่ต้องเป็นประเทศที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพนับถือ และอยู่ในฐานะที่มี “คุณูปการ” แก่ทุกฝ่าย ประเทศไทยของเราเป็นศูนย์กลางของดินแดนสุวรรณภูมิ ที่เป็นแผ่นดินทองของเอเชีย เป็นดินแดนยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ใครได้ครองสุวรรณภูมิ ย่อมได้ครองเอเชียทั้งหมด เพราะฉะนั้น การวางฐานะและบทบาทของชาติในสังคมโลกในยุคนี้ จึงมีความสำคัญอย่างมาก ว่าจะนำประเทศชาติไปสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง หรือความล่มสลายและหายนะ ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องลุกขึ้นมา ร่วมกันพาบ้านเมืองผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ต้องปฏิรูปบ้านเมืองให้เป็น “สังคมธรรมาธิปไตย” และต้องเป็นสังคมธรรมาธิปไตยที่ พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศ มีหน้าที่และความรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน และเป็นผู้นำการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน โดยร่วมกับประชาชนด้วยวิถีราชประชาสมาสัย ที่มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์กับประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสังคมที่ดีงาม มีสันติสุข  มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ การบริหารบ้านเมืองต้องเป็นธรรม มีคุณธรรมจริยธรรม มีความยุติธรรม ธรรมาภิบาล ประชาชนมีความสุข มีโอกาสทัดเทียมกัน มีความสามารถในการประกอบอาชีพอย่างมีศักดิ์ศรี เจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ให้ประชาชนมีความสุขกันถ้วนหน้า

ที่ผ่านมา ตัวผมเอง ได้แสดงจุดยืนมาโดยตลอดว่า การเลือกตั้งภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ยากที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้ อย่างที่รับทราบกันว่า ผู้มีอำนาจมี “ดีลลับ” จับขั้วตั้งรัฐบาลกันไว้ล่วงหน้า ตกลงกันว่าพรรคไหนจะจัดตั้งรัฐบาลกับใคร และจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองเลย เพราะฉะนั้น ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดของการเลือกตั้ง ในห้วงเวลาที่การเมืองมีแต่ความขัดแย้ง ความแตกแยก และทำลายล้างชาติบ้านเมืองเช่นนี้ พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์กลางซ้าย Liberal Social Democratic ที่เชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และมีจุดยืนไม่สนับสนุนการผูกขาดเท่านั้น ที่จะสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งและเป็นทางรอดของประเทศชาติได้ พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และคุณสมบัติดังกล่าว เช่น พรรคไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย ชาติไทยพัฒนา ควรหลอมรวมสร้างพันธมิตรแห่งความหวัง Alliance of Hope และยืนหยัดต่อสู้กับระบบสามานย์ที่บ่อนทำลายประเทศชาติ เพื่อดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ที่รุ่งเรือง เป็นเสาหลักที่มั่นคงของประเทศชาติสืบไป

พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน

เราจะปล่อยให้เวลาของประเทศชาติดำเนินต่อไปตามยถากรรมเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนทุกฝ่าย จะต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วเดินหน้าไปพร้อมกัน เริ่มต้นการปฏิรูปประเทศไทยให้สำเร็จอย่างที่มุ่งหวัง ผมเชื่อมั่นว่า เวทีเสวนาในวันนี้ จะจุดประกายความหวังให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง ขอพลังแผ่นดินจงขับเคลื่อนจิตวิญญาณรักชาติในใจของพวกเรา ให้ร่วมกันนำพา “รัฐนาวาประเทศไทย” รอดพ้นจากวิกฤตและความล่มสลาย และสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง สันติสุข ให้แก่แผ่นดินไทยอันเป็นที่รักของพวกเราได้อย่างยั่งยืนตลอดไป