กระทรวงศึกษาธิการ (4 มีนาคม 2564)-ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถอดรหัสนโยบายการศึกษา ก้าวใหม่นักเรียนไทย ผ่าน 3 กลไก 5 นโยบาย 7 โครงการ เร่งเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาไปสู่ตัวผู้เรียน วางรากฐานการศึกษาไทยในศตวรรษที่21 และในอนาคต เน้นต้องมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเองกำกับดูแลงานในกระทรวงศึกษาธิการตามที่ได้รับมอบหมายตั้งแต่เมื่อครั้งมาทำหน้าที่รัฐมนตรีช่วยฯ เป็นเวลากว่า 2 ปี ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความรู้ ความสามารถในการเร่งเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาไปสู่ตัวผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้การทำงานคืบหน้าไปมากอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามการปฏิรูปการศึกษาต้องใช้เวลาเพราะต้องทำควบคู่กันทั้งทางด้านโครงสร้าง และการปฏิรูปไปสู่ตัวผู้เรียนโดยตรง เพื่อวางรากฐานการศึกษาไทย ให้สอดรับกับโลกในศตวรรษที่ 21 และในอนาคต ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง แต่ไม่เคยท้อถอยและมั่นคงในแนวทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากมายจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นตัวเร่งให้ทุกคนต้องปรับตัวในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
ทั้งนี้ เมื่อตนเองได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็ได้มอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติให้กับผู้บริหารกระทรวงฯ ไปในทันที โดยในปี 2564 จะขับเคลื่อนนโยบายผ่าน 3 กลไกหลักนั่นก็คือความทันสมัย- เท่าเทียม- และยั่งยืนเพราะถือเป็นหัวใจในการพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพและเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ
ส่วนการจะไปสู่การปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษ 21 อย่างแท้จริงนั้น จะต้องเร่งผลักดัน 5 นโยบายสำคัญ คือ 1.เรื่องโค้ดดิ้ง ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ ในการวางรากฐานการปฏิรูปโดยตรงถึงเยาวชนและการพัฒนามนุษย์ ผ่านคณะกรรมการโค้ดดิ้งแห่งชาติ และปัจจุบันได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการ Coding เพื่อการปฏิรูปประเทศ ภายใต้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2.เรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้วยการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการการเรียนการสอน : STI (Science /Technology/Innovation)
3.เรื่องการอ่านเขียนเรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อร่วมสมัย ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน และกระบวนการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรมและสื่อการสอนที่ทันสมัย จัดทำคลังข้อมูลดิจิตัล เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับครู 4.อาชีวะเกษตรและประมง ด้วยการยกระดับอาชีวะศึกษาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งระบบพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเกษตร ถ่ายถอดเทคโนโลยีเกษตรให้กับเยาวชนและชุมชน และ 5.นโยบายการศึกษาพิเศษ เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ
ดร.คุณหญิงกัลยา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะ 7 โครงการเพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพ ซึ่งจะยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย 1.โครงการ “Coding for All ” เด็กไทยต้องได้เรียนโค้ดดิ้ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะมุ่งเน้นการเรียนการสอนโค้ดดิ้งไปที่ครูและนักเรียนเท่านั้น แต่จะกระจายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ และทุกช่วงวัย รวมไปถึงขยายไปกระทรวงต่างๆ ภายใต้คณะกรรมการโค้ดดิ้งแห่งชาติและร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้โค้ดดิ้งครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพมากยิ่งขึ้น 2.โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ซึ่งได้ขยายโอกาสให้นักเรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ STI อย่างกว้างขวาง โดยจะเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
3.โครงการการขับเคลื่อนโรงเรียนวิทยาศาสตร์ในกำกับโดยให้การสนับสนุนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 12 แห่งทั่วประเทศเพื่อขยายโอกาสให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้สูงทัดเทียมกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก 4.โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จะเป็นแหล่งพัฒนาบุคลากรทางการเกษตร ที่พร้อมจะพัฒนาให้เป็น ผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำในอนาคต ภายใต้ หลักสูตร “ชลกร” โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีน้ำกิน น้ำใช้ แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน รวมถึงการน้อมนำศาสตร์พระราชามาสู่สถานศึกษาในการจัดทำเนื้อหาหลักสูตรที่เหมาะสม
5.โครงการที่นำเอานวัตกรรมมาใช้กับการเกษตรและประมง อาทิ โครงการเกษตรประณีต 1 ไร่ 1 แสน ให้ทุกตารางเมตรของพื้นที่สามารถทำเงินได้ เป็นการจัดการพื้นที่ตามทฤษฎีใหม่ วางแผนปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อให้มีรายได้ทุกวัน ตลอดปี ช่วยแก้จน รวมไปถึงโครงการสร้างบรรยากาศห้องเรียนธรรมชาติเพื่อให้นักเรียนอาชีวะเกษตรได้เรียนรู้ ฝึกฝน ฝึกตน ฝึกทักษะชีวิตกับธรรมชาติ 6.โครงการด้านการอ่าน เขียน เรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อสารร่วมสมัย โดยจัดทำ AR เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านธนบัตร มีการอบรมกระบวนการสอนโดยใช้คลิปประวัติศาสตร์น่ารู้จำนวน 10 คลิป ที่ได้จัดทำเป็นคลังข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงความสนใจของเด็กในยุคปัจจุบัน
และ 7.โครงการการศึกษาพิเศษ การศึกษาไทยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสผ่านการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลายและ มีคุณภาพ มีทักษะชีวิตที่ดี สามารถพึ่งตนเองได้ อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข มีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดี
“ขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่กรุณาส่งกำลังใจมาให้ในการทำงานเพื่อวางรากฐานทางการศึกษา ท่านรองนายกวิษณุ เครืองาม ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งหัวหน้าส่วนราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนทุกคน ทั้งนี้ เป้าหมายที่วางไว้จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากปราศจากทุกท่าน… ดิฉัน “ครูกัลยา” จะผลักดันนโยบายการศึกษาโดยเน้นไปที่ตัวผู้เรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางรากฐานการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 และในอนาคต ด้วย 3 กลไกเพื่อการพัฒนาคุณภาพคนไทย ด้วย 5 นโยบายสำคัญ และ 7 โครงการต่อเนื่องเพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพ ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ ของนักเรียนไทย โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติในทุกมิติ” ดร.คุณหญิงกัลยา กล่าว
นอกจากนี้พร้อมขับเคลื่อนงานตามนโยบายที่ต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการบูรณาการการศึกษาจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียน 3 กลุ่ม คือ 1.โรงเรียนคุณภาพของชุมชน 2.โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง และ 3.โรงเรียน Stand Alone รวมทั้งนโยบายการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) อีกด้วย