บริษัทไมเดีย กรุ๊ป จำกัด (Midea Group Co., Ltd.) (000333CH) ได้รับการยกย่องเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 โดยโรงงานผลิตอีก 2 แห่ง ได้แก่ ไมเดีย เหอเฟย์ (Midea Heifei) และ ไมเดีย จิงโจว (Midea Jingzhou) ได้รับเลือกให้เข้าร่วมเครือข่ายโกลบอล ไลท์เฮ้าส์ เน็ตเวิร์ค (Global Lighthouse Network) ของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม (World Economic Forum: WEF) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทพยายามของไมเดีย กรุ๊ป ในการบรรลุประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปกับความยั่งยืน โกลบอล ไลท์เฮ้าส์ เน็ตเวิร์ค คือชุมชนของผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) เพื่อเปลี่ยนแปลงโรงงานและห่วงโซ่มูลค่า โดยรวมแล้ว ไมเดีย กรุ๊ป มีโรงงานในเครือข่ายไลท์เฮ้าส์ของ WEF เพิ่มขึ้นเป็น 4 แห่ง ครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงในรายได้รวมของไมเดีย กรุ๊ป “โรงงานของเราเคยผลิตสินค้าระดับบนและระดับกลางในเวลาเดียวกัน ซึ่งในตอนนั้น การผลิตของเราเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่มาก” หลี่ เจิน (Li Zhen) ผู้จัดการทั่วไปของโรงงานไมเดีย จิงโจว กล่าว “วิธีการผลิตแบบดั้งเดิมไม่มีประสิทธิภาพ และยากที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันเวลา”
ไมเดีย จิงโจว ซึ่งเป็นโรงงานน้องใหม่ในเครือข่ายไลท์เฮ้าส์ นำระบบอัตโนมัติที่ยืดหยุ่นมาใช้ ผ่านการดำเนินมาตรการการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและอัจฉริยะ โดยอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (loT) และปัญญาประดิษฐ์ในแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมากกว่า 2,000 แผนงาน ช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงานขึ้น 52% และลดช่วงเวลานำการผลิต (Production Lead Time) ลง 25% ลดอัตราความล้มเหลว 53% และลดการใช้สาธารณูปโภคต่อหน่วยลง 20%
ขณะที่โรงงานผลิตเครื่องซักผ้าของไมเดียในเมืองเหอเฟย์ได้เป็นประจักษ์พยานการปฏิวัติอุตสาหกรรมเช่นกัน โดยมีจำนวน SKU ของสินค้ามากกว่า 1,100 อีกทั้งยอดการผลิตและยอดขายต่อปีของโรงงานไมเดีย เหอเฟย์ ยังอยู่ในระดับแนวหน้าด้วย จาง จือหมิน (Zhang Zhimin) ผู้จัดการทั่วไปของโรงงาน กล่าวว่า “การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ได้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดตั้งแต่กระบวนการทางธุรกิจ โมเดลธุรกิจ และประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น”
ไมเดีย เหอเฟย์ โรงงานยุคอุตสาหกรรม 4.0 ในเครือไลท์เฮ้าส์ พุ่งเป้าไปที่กลุ่มสินค้าระดับไฮเอนด์ในประเทศและการขยายตลาดต่างประเทศ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยี loT อย่างกว้างขวางทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต้ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อสร้างการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น และห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เวลานำการผลิตลดลง 56% อัตราการสูญเสียลูกค้าเดิมลดลง 36% และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น 45% นอกจากนี้ยังช่วยผลักดันสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนปริมาณสูงสุดก่อนลดลง (Emission Peak) ในปี 2568 และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ในปี 2583 ไซมอน จาง (Simon Zhang) ซีไอโอของไมเดีย กรุ๊ป กล่าวว่า “ในอนาคต ไมเดีย กรุ๊ป จะยังคงเพิ่มการลงทุนในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล, IoT, การพัฒนาความก้าวหน้าระดับโลก และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี ตลอดจนลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ล้ำสมัย”