Global Investor Study ผลงานวิจัยระดับโลกโดย Schroders เผยผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้นักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาให้ความสำคัญต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้นเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ท่ามกลางการเรียกร้องให้มีการเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานที่เน้นเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ผลการวิจัยที่มุ่งเน้นถึงความยั่งยืนจากการศึกษาที่สำคัญของ Schroders จากการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนเกือบ 24,000 คนจาก 33 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก รวมทั้งประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย พบว่า 67% และ 66% ของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ความสำคัญต่อประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามลำดับ (เทียบกับค่าเฉลี่ยของผลสำรวจทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 57% และ 55% ตามลำดับ) อย่างไรก็ดี 65% ของนักลงทุนในภูมิภาคนี้ (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 36%) ยังคงต้องการที่จะเห็นข้อมูลหรือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงสามารถกระตุ้นให้พวกเขาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้มากขึ้น ส่วนนักลงทุนอีก 47% (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 36%) ต้องการทราบข้อมูลหรือหลักฐานรับรองจากผู้จัดการการลงทุนว่าการลงทุนของพวกเขาเป็นการลงทุนที่เน้นความยั่งยืน ในขณะที่ 46% (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 40%) กล่าวว่า รายงานการลงทุนที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการลงทุนของพวกเขาที่มีต่อประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยจูงใจให้พวกเขาลงทุนอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้น
โรคโควิด-19 ทำให้ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นอันดับต้นๆ และผู้มีส่วนสำคัญต่อการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอบรับด้วยการเร่งดำเนินการด้านความยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ที่เสนอหลักเกณฑ์ให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพอากาศตามประกาศของหน่วยงานเฉพาะกิจในการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ส่วนในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมออกข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในปีหน้านี้
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ในภูมิภาคเปิดรับแนวคิดการลงทุนแบบยั่งยืน โดย 67% ของนักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 57%) มีความคิดเห็นเชิงบวกต่อการปรับพอร์ตการลงทุนที่เน้นความยั่งยืนทั้งหมด ตราบใดที่ระดับความเสี่ยงและการกระจายความเสี่ยงยังอยู่ในระดับเท่าเดิมกับการลงทุนก่อนหน้า โดยผลจากการสำรวจทั่วโลกพบว่า ความคิดเห็นลักษณะนี้เด่นชัดที่สุดในกลุ่มนักลงทุนที่มีอายุน้อย คือระหว่าง 18-37 ปี (60%)ทัศนคติเช่นนี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในประเทศไทย (76%) ซึ่งสูงที่สุดในโลก และอินโดนีเซีย (72%) ส่วนนักลงทุนในมาเลเซีย (62%) และสิงคโปร์ (57%) เองก็มีทัศนคติเช่นนี้ในระดับสูงเช่นกัน แท้จริงแล้ว 62% ของนักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 52%) กล่าวว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นปัจจัยที่ดึงดูดที่สุด ซึ่งสูงกว่าผู้ที่ตอบว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่าที่ระดับ48% (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 38%) ของและยังสูงกว่าผู้ลงทุนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับหลักการทางสังคมของตนที่ระดับ 43% (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 39%)
นายแอนดี้ โฮวาร์ด หัวหน้าฝ่ายการลงทุนอย่างยั่งยืน ของ Schroders ให้ความเห็นว่า:
“ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นต่อผู้จัดการกองทุนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เราให้ความสำคัญต่อการสร้างความมั่นใจว่าการบริหารการลงทุนให้ลูกค้าสอดคล้องกับแนวคิดที่เปลี่ยนสู่การให้ความสำคัญต่อโลกที่ยั่งยืนมากขึ้น และได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านนี้” “ในฐานะผู้ลงทุนและผู้ดูแลบริหารการลงทุนให้แก่ลูกค้า เรามองหาวิธีการที่มีส่วนร่วมที่จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์กรต่างๆ เพื่อให้บริษัทที่เราลงทุนมีความยั่งยืน และสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้”
“ขณะเดียวกัน แม้ว่าผู้จัดการกองทุนจะมีประสบการณ์ที่กว้างขวางด้านการลงทุนเพื่อความยั่งยืน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในการแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง ที่จริงแล้ว การสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนนั้นสัมพันธ์กับความสำเร็จในการจัดการความท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” “เราต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน ด้วยการนำเสนอข้อมูลรอบด้านที่ผู้ลงทุนเห็นว่าจำเป็นและสำคัญต่อพวกเขาในการประเมินผลการดำเนินงาน ดังนั้น Schroders จึงให้ความสำคัญกับผลการวิจัยด้านความยังยืนอย่างจริงจัง และแสดงออกถึงความเป็นผู้นำในในด้านการลงทุนแบบยั่งยืนเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าที่มีความต้องการที่เปลี่ยนไปในยุคนี้” งานวิจัยยังเจาะลึกไปถึงเรื่องเสื่อมเสียที่ทำให้นักลงทุนถอนการลงทุนอีกด้วย โดยนักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดเผยว่าเหตุการณ์อื้อฉาวทางการเงิน (68%) และการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือการแฮ็กข้อมูล (68%) คือเหตุผลหลักที่อาจทำให้พวกเขาตัดสินใจถอนการลงทุน อีกทั้ง 60% ของนักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังกล่าวด้วยว่าอาจจะขายสินทรัพย์ทั้งหมดหากเกิดกรณีที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ
นอกจากนี้นักลงทุนยังคาดหวังเพิ่มขึ้นต่อการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก โดยการวิจัยครั้งนี้พบว่ามีแรงกดดันเพิ่มขึ้นในแทบทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นับตั้งแต่รัฐบาล บริษัท ตลอดจนผู้จัดการกองทุน ในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศมากกว่า 3 ใน 4 ของนักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 74%) ยังเห็นด้วยว่ารัฐบาลและหน่วยงานด้านการกำกับดูแลควรรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ โดย 74% (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 68%) เห็นว่า บริษัทต่างๆ ควรรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดด้านทัศนคติและความคิดเห็นของนักลงทุนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คือความคาดหวังต่อบทบาทของผู้จัดการสินทรัพย์ที่มากขึ้น 61% ของนักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 53%) เชื่อว่าผู้จัดการการกองทุนและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่างต้องรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากการสำรวจนักลงทุนจากทั่วโลกในปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 46%
ทั้งนี้ ข้อมูลสำคัญจากการสำรวจในสิงคโปร์สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ ส่วนข้อมูลสำคัญจากการวิจัยในประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย สามารถดูได้จากไฟล์อินโฟกราฟิกที่แนบมา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการศึกษา Schroders Global Investor Study 2021