Panthera Group (แพนธีร่า กรุ๊ป) ผู้นำกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง ผับ บาร์ และไนท์คลับ เดินหน้าให้ความช่วยเหลือเจ้าของกิจการที่เป็นผู้เช่าซึ่งได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตโควิด-19 ด้วยการปรับลดค่าเช่าพื้นที่ พร้อมเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภาคกลางคืน และเป็นตัวอย่างในเรื่องรูปแบบการให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าของที่รายอื่น ๆ Panthera Group (แพนธีร่า กรุ๊ป) กลุ่มธุรกิจสถานบันเทิงขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ และไนท์คลับทั้งในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเกาะสมุย เดินหน้าลดราคาค่าเช่าพื้นที่ลงถึง 67% ในปี 2563 เพื่อช่วยเยียวยาให้บรรดาผู้เช่าสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้จนกว่าวิกฤตครั้งนี้จะจบลง
พอล เฮย์วอร์ด (Paul Hayward) ผู้ร่วมก่อตั้ง Panthera Group (แพนธีร่า กรุ๊ป)กล่าวว่า ร้านรวงและธุรกิจต่างๆ ได้รับส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ในปีที่แล้วก็จริง แต่เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ก่อนจะถูกเรียกเก็บเต็มจำนวนอีกครั้งในช่วงปลายปี ซึ่งในตอนนั้นหลายๆ ธุรกิจก็ยังไม่สามารถกลับมาเปิดกันได้ “เราเห็นใจบรรดาเจ้าของผับบาร์ที่ส่วนใหญ่เจ้าของที่ไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้เช่ามากพอ โดยไม่มองเลยว่าธุรกิจกำลังไปไม่รอดและผู้เช่ากำลังเดินเข้าสู่ภาวะล้มละลาย ซึ่งสุดท้ายก็จบลงที่ต่างคนต่างแพ้ ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า แม้ว่าตอนนั้นการลดค่าเช่าลงถึงครึ่งหนึ่งดูจะสมเหตุสมผลอยู่แล้ว แต่เรายังรู้สึกว่าถ้าขอเลือกเก็บแค่เพียงหนึ่งในสาม เราจะสามารถหาคนเช่าที่ยังพอจะประคองธุรกิจได้มาอยู่กับเรา” พอล เฮย์วอร์ด กล่าว
ส่วนธุรกิจที่ดูไม่น่าไปต่อได้แม้จะได้รับการเสนอลดค่าเช่าลงแล้วก็ตาม ทาง Panthera Group (แพนธีร่า กรุ๊ป) ยังได้เสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่ง Paul Hayward (พอล เฮย์วอร์ด) เรียกว่า “ทุนยังชีพ” ซึ่งคำว่า “ยังชีพ” ในที่นี้ไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจใครธุรกิจมัน แต่เพื่อภาพรวมการอยู่รอดของอุตสาหกรรมธุรกิจสถานบันเทิงในมุมมองระดับประเทศ “หากร้านรวงต่างทยอยกันปิดตัวลงมันจะส่งผลกระทบอย่างมากกับทั้งพื้นที่ในมุมกว้างเมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เราต้องคงมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนที่ดีเอาไว้ให้กับนักท่องเที่ยว เราคงไม่อยากเห็นภาพนักท่องเที่ยวแห่กันไปเที่ยวที่ประเทศอื่น” คุณเฮย์วอร์ดยังกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องสินเชื่อว่า “ต้องมากพอที่พวกเขาจะสามารถนำไปบริหารจัดการและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเราต้องเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ด้วยแผนเปิดประเทศที่ทางภาครัฐได้ตั้งเป้าประมาณการไว้ที่กลางเดือนตุลาคม เฮย์วอร์ดเชื่อว่าคำสั่งปิดสถานท่องเที่ยวภาคกลางคืนจะได้รับการผ่อนปรน “ดูจากสถานการณ์เราคาดว่าผับบาร์น่าจะได้กลับมาเปิดกันก่อนเดือนตุลาคม แต่น่าจะมาพร้อมข้อกำหนดบางอย่าง”
ทั้งนี้ เฮย์วอร์ดยังได้โพสต์ไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา“ผมมั่นใจว่าเรื่องคำสั่งห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะถูกผ่อนผันเร็วๆ นี้ และหากสถานการณ์โดยรวมเริ่มที่จะทรงตัว สถานที่เที่ยวน่าจะกลับมาเปิดได้ถึงเที่ยงคืนอีกครั้ง แต่คงไม่คึกคักเหมือนก่อน ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก” คุณเฮย์วอร์ดกล่าวเสริม “ผมเชื่อว่าเจ้าของที่หลายๆ เจ้าในที่สุดจะเริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ความเป็นจริง และจะเริ่มทบทวนค่าเช่าใหม่ตามความเป็นไปได้กับผู้เช่า ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะค้ำจุนกันจนถึงวันที่ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ”
เฮย์วอร์ดเชื่อว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 รายได้รวมจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภาคกลางคืนในส่วนของกรุงเทพมหานครน่าจะสามารถกลับมายืนได้ที่ 75% และในช่วงฤดูท่องเที่ยวรายได้รวมจะพุ่งขึ้นสูงกว่าปี 2562 ส่วนโครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมนั้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะนำความสำเร็จกลับมาให้กับภาคธุรกิจการท่องเที่ยว “เมื่อไหร่ที่ผู้คนได้เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวกันอีกครั้ง การโพสต์รูปจะตามมา จะเกิดการบอกต่อถึงความมหัศจรรย์และสวยงามของประเทศไทย ในช่วงกลางเดือนกันยายน เราน่าจะได้เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เริ่มเดินทางเข้ามา โรงแรมที่พักจะกลับมามีรายได้ จากนั้นนักท่องเที่ยวจะเริ่มออกเดินทางสู่จังหวัดอื่นๆ” เฮย์วอร์ด กล่าว