กรุงเทพฯ / – ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพั ฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) การพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อเพิ่ มขีดความสามารถในการแข่งขั นของอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพั ฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระหว่าง สกพอ. และ ส.อ.ท. โดยมีนางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านระบบเงิน สกพอ. และ ดร. วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองประธาน ส.อ.ท. เป็นพยาน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้ นที่อีอีซีให้มีศักยภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ตอบโจทย์ และสามารถยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ อีอีซีให้มีความเป็นสากล อีกทั้งร่วมเป็นพันธมิตรในการขั บเคลื่อนโครงการที่มีความสำคั ญต่อการสร้างระบบนิเวศรองรั บการลงทุนให้พื้นที่อีอีซี ณ ห้อง Passion (802) ชั้น 8 ส.อ.ท.
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า ความร่วมมือตาม MOU ครั้งนี้ อีอีซี และ ส.อ.ท. จะร่วมดำเนินการใน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) ผลักดันผู้ประกอบการในอีอีซีให้ เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ ประกอบการ SMEs หรือ Startup ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขี ดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจในอนาคต และร่วมจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ ยวเนื่องกับการส่งเสริมการสร้ างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Network) 2) ร่วมกันผลักดันให้ผู้ ประกอบการใน Supply Chain ของอุตสาหกรรมเป้าหมายและผู้ ประกอบการ Startup ให้สามารถรับเงินทุนสนับสนุนผ่ านกองทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation One) หรือจากกองทุนส่งเสริมวิ ทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของสำนั กงานคณะกรรมการส่งเสริมวิ ทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาธุ รกิจนวัตกรรมสตาร์ทอัพไทย และต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการที่ สามารถตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้อย่ างแท้จริง และ 3) ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการทั้ง Project-Based และ Flagship Projects ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและเพิ่ มศักยภาพของพื้นที่อีอีซี พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่ วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่มีศั กยภาพ “ความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นกลไกที่สำคัญในการเสริ มสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ ประกอบการในพื้นที่อีอีซี ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายใหม่ (Startup) ตลอดจนผู้ประกอบการขนาดใหญ่ให้ เข้าถึงแหล่งเงินทุน พัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมและบริ การให้ตรงกับความต้ องการของภาคอุตสาหกรรมเป้ าหมายของประเทศ เสริมสร้างความพร้อมของห่วงโซ่ การผลิต (Production Chain) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมยกระดับให้มีความเป็ นมาตรฐานและมีความเป็นสากล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชั กชวนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่อี อีซี” ดร.จุฬา กล่าว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขั บเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพั ฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้ านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve ที่สำคัญของประเทศไทย โดยในปี 2566 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 38,613 ล้านบาท และมีสมาชิก ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 1,209 ราย ครอบคลุม 3 จังหวัดที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ ระยอง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา จึงเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และ EEC เป็นแนวทางที่สำคัญซึ่ง ส.อ.ท. พร้อมจะสนับสนุนในด้านข้อมูลผลิ ตภัณฑ์และบริการของเครือข่ ายสมาชิก ส.อ.ท. ที่ประกอบด้วย 46 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 11 คลัสเตอร์ ครอบคลุม 76 จังหวัด ให้แก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิ เศษฯ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ ายทางธุรกิจ (Business Network) และยกระดับภาคอุตสาหกรรมจากอุ ตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออุ ตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย ONE FTI อีกทั้งในปัจจุบัน ส.อ.ท. ได้มีการจัดตั้งโครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าว จะเข้ามาช่วยสนับสนุนเงินทุนแก่ ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยี นวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับผลิ ตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม
“สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีความยินดีที่ได้จับมือทำงานร่ วมกับอีอีซี ในฐานะที่เป็นผู้ส่งเสริมผู้ ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเป้ าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวั นออก ซึ่งสมาชิกของ ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จะสามารถเข้าถึงเครือข่ายความร่ วมมือทางธุรกิจและแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่ วมมือทางธุรกิจซึ่งจะทำให้ การดำเนินธุรกิจในเขตพัฒนาพิ เศษฯ เติบโตและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น” นายเกรียงไกร กล่าว