ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ ประชุมคืนวันที่ 26 – 27 ม.คยังคงส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายการเงินเข้มงวด ฉุดราคาหุ้นสหรัฐฯ ลงมาถูกเหมือนปี 61 ชี้เป็นจังหวะช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเมตาเวิร์สเข้าพอร์ต รับหลากปัจจัยบวกในอนาคต  นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU)  เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพราะกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น การปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้ปัจจุบันราคาหุ้น (Valuation) เริ่มน่าสนใจที่จะเริ่มพิจารณาเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง

และถึงแม้ว่า Fed จะยังไม่ประกาศเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างเป็นทางการ แต่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี และราคาหุ้นน่าจะรับรู้ข่าวดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว โดยคาดว่าอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของ S&P 500 มีโอกาสปรับลงจากปัจจุบันได้เพียง 2 – 5% เท่านั้น เพราะปัจจัยกดดันราคาหุ้นอย่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมาจากราว 1.4% ในเดือนธันวาคม มาอยู่ที่ 1.8% ในปัจจุบันนั้นได้สะท้อนแนวโน้มนโยบายที่เข้มงวดไปมากแล้วและมีโอกาสปรับขึ้นได้อย่างจำกัด ขณะที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงระดับ 2% แล้ว    “หากในการประชุม Fed ที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 26 – 27 มกราคมนี้ ส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่าดัชนี S&P 500 จะปรับลดลงมาซื้อขายด้วยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ที่ 18.5 – 19 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับปัจจุบันเพียง 2 – 5% เท่านั้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Bond Yield) อาจปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.0 – 2.1% ดังนั้น ปัจจุบัน Valuation ของตลาดหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจแล้ว โดยส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ลบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Earning Yield Gap) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.4% ใกล้เคียงกับกรอบบนในช่วงปี 2561 ที่ Fed เดินหน้าลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening หรือ QT)  ” นายคมศรกล่าว

สำหรับคาดการณ์ผลการประชุม Fed ที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 26 – 27 มกราคม 2565 ตามเวลาประเทศไทยนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะส่งสัญญาณ 3 ประเด็นคือ 1. Fed อาจส่งสัญญาณถึงการขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น เป็น 4 ครั้งในปีนี้ 2. Fed จะประกาศยืนยันยุติมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) ในเดือนมีนาคมนี้ และ 3. Fed อาจระบุถึงแนวทางในการลดขนาดงบดุลเพิ่มเติม ทั้งนี้ หาก Fed ส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นเร็วกว่านี้ เช่น ขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% (50bps) จากปกติที่ 0.25% (25bps) หรือประกาศยุติการทำ QE ในการประชุมนี้เลย ตามที่ตลาดเริ่มมีการพูดถึง ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานลงอีก แต่จะไม่มากนักเมื่อเทียบกับระดับราคาในปัจจุบัน

ด้านนายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า แนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่ Fed ส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวด ทยอยเข้าซื้อหุ้นธีมเมตาเวิร์ส (Metaverse) โดยปัจจุบันหุ้นธีมเมตาเวิร์สได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 ประมาณ 25-30%  ทำให้มีโอกาสสร้างกำไรจากการเพิ่มขึ้นของ Upside โดยนักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก (Bloomberg consensus)  ประเมินว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สจะพุ่งสูงขึ้นจาก 1.แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ไปแตะ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 3.4 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี

นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้หลายบริษัทซื้อขายอยู่ในดัชนี S&P 500 เช่น Apple, Microsoft  NVIDIA และ Meta (Facebook) ซึ่งหุ้นกลุ่มเมตาเวิร์สนี้นับเป็น New S-curve ที่สำคัญในการสร้างรายได้ในอนาคตให้บริษัทเติบโตในยุคดิจิทัลที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมตามภาพของเมกะเทรนด์ (Megatrend) ของโลก