SCB CIO วิเคราะห์ธนาคารกลางหลักเริ่มส่งสัญญาณ QE taper โดยสัญญาณจาก Fed จะชัดเจนขึ้นจากการประชุมเดือน ก.ย. และน่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในการประชุมเดือน พ.ย. คาดความผันผวนในตลาดการเงินโลกสูงขึ้นแต่ไม่รุนแรงเท่ากับในปี 2013 โดยในรายละเอียด SCB CIO คาดว่า Fed จะส่งสัญญาณ QE taper ที่ต่อเนื่องและชัดเจนขึ้นในการประชุม 21-22 กันยายนนี้ ซึ่งต่างจาก 2013 QE taper ที่เป็นการประกาศที่สร้างความตกใจให้ตลาด โดยในรอบนี้ทั้งผู้ร่วมตลาดและ Fed ล้วนมีบทเรียนจากปี 2013 นอกจากนั้น Fed เองได้ทำการส่งสัญญาณหรือนวดตลาดล่วงหน้าทำให้ตลาดเริ่มมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งสัญญาณชัดเจนในการแยกการตัดสินใจประเด็น QE taper (คาดว่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในช่วงการประชุมของ Fed 2-3 พ.ย.) และการขึ้นดอกเบี้ย (ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งแรกปี 2023F) ออกจากกัน ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะทำให้ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกไม่รุนแรงเท่ากับการทำ QE taper ในปี 2013 โดยนอกจาก Fed แล้วล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีการส่งสัญญาณลดการเข้าเข้าสินทรัพย์อย่างช้าๆ ภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 4 ปีนี้ แต่จะยังคงการทำ QE ภายใต้โครงการ Asset Purchase Program (APP) ไว้ต่อ การเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายนไม่น่าจะทำให้ภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่การเลือกตั้งสภาล่างและนายกคนใหม่ของญี่ปุ่นน่าจะตามมาด้วยนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไล่ตามประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ให้ทันในรายงาน Economics and Portfolio Strategy (EPS) ประจำเดือนกันยายน 2021 SCB Chief Investment Office (CIO) วิเคราะห์ 3 ประเด็นหลักที่มีผลต่อแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก (Global Asset Allocation) ประกอบด้วย 1) ผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เริ่มแตกต่างตามความรวดเร็วในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets: DMs) และกำลังพัฒนา (Emerging Markets: EMs) โดยเฉพาะการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (US Federal Reserve: Fed) ที่จะเริ่มทำ QE tapering ภายในปี 2021 นี้ 2) ภูมิคุ้มกันของ EMs ประเทศ ต่อความผันผวนของตลาดการเงินโลก และ 3) บทเรียนต่อตลาดการเงินโลกจากการทำ QE taper ของ Fed ในปี 2013 และความแตกต่างของการทำ QE taper ในรอบนี้
สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก SCB CIO ประเมินการเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ของ US treasury yieldsจะทำให้หุ้นกลุ่ม quality growth ในสหรัฐฯและยุโรปยังน่าสนใจ; สำหรับประเทศในกลุ่ม EMs ที่ฟื้นช้าต้องระวังความผันผวนในตลาดหุ้นและค่าเงิน บทเรียนจากปี 2013 บ่งชี้ว่าในตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดอื่นทั้งในแง่การปรับตัวลดลงและระยะเวลาฟื้นตัว ตามมาด้วยตลาดหุ้นยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับผลกระทบค่อนข้างมากเนื่องจากปรับขึ้นไปอย่างมีนัยในช่วงก่อนหน้า แต่ก็สามารถทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ ในขณะที่กลุ่มประเทศ EM เช่น จีน ไทย อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกี และแอฟริกาใต้ ได้รับผลกระทบหนักต่อทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และค่าเงิน โดยในช่วงปลายปี 2021F คาดว่าอัตราผลตอบแทน US treasury จะอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งเป็นการขยับขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบจำกัดต่อหุ้นกลุ่ม quality growth ที่ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ยังคงกังวลต่อค่าเงินและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศ EMs ซึ่งแม้เสถียรภาพด้านต่างประเทศจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2013 แต่ปัญหาด้านภูมิคุ้มกันของ EMs ส่วนใหญ่อยู่ที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำและฟื้นช้าโดยฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจถูกกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้าและ COVID-19
สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCB CIO ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป; ปรับมุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็น slightly positive; ปรับมุมมองหุ้นจีน H-share และไทยลงเป็น slightly negative เราเชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
- เราเชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
- เรามีมุมมองที่ดีขึ้นต่อหุ้นญี่ปุ่น จากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่, ราคาหุ้นทียังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาด DM อื่น และผลกระทบที่น่าจะจำกัดจาก Fed QE taper
- จากความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท เราปรับมุมมองหุ้นจีน H-share ลงเป็น slightly negative สำหรับตลาด A-share เรายังคงมุมมอง Neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย dual circulation และ common prosperity
- ในตลาดหุ้น ASEAN เรายังคงชอบเวียดนาม แม้เศรษฐกิจและผลประกอบการจะชะลอลงในช่วงไตรมาส 3/2021 แต่ผลกระทบได้รับ priced-in ไปบ้างแล้ว โดยในระยะข้างหน้า น่าจะมีการฟื้นตัวได้จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกตามเศรษฐกิจโลกและความคืบหน้าในการนำเข้าวัคซีนที่ค่อนข้างดีทำให้การเปิดเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาได้
- เราปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยลงเป็น slightly negative จากความตึงตัวของ valuation และผลกระทบจาก QE tapering ต่อเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า
- ด้วยอัตราผลตอบแทนแท้จริงของ US treasury ที่ยังอยู่ในระดับต่ำในขณะที่ความผันผวนในตลาดหุ้นสูงขึ้น เราคงมุมมองต่อทองคำขึ้นเป็น Neutral และคงมุมมองต่อน้ำมันที่ slightly negative จากปัจจัยอุปสงค์ที่น่าจะได้รับแรงกดดันจากการเปิดเมืองที่ช้ากว่าคาดโดยเฉพาะจากประเทศ EMs
- เราคงมุมมองต่อ DM และ Asian REITs เป็น Neutral โดยDM REITs แม้มีการเปิดเมืองต่อเนื่อง แต่ valuation ค่อนข้างตึงตัว ในขณะที่ Asian REITs แม้ราคาถูกแต่ผลกระทบของสายพันธุ์ Delta มีแนวโน้มยืดเยื้อ
ในรายละเอียดท่านสามารถติดตามรายงาน Economics and Portfolio Strategy (EPS) ประจำเดือนสิงหาคม 2021 ของทาง SCB Chief Investment Office (CIO) ได้ที่ https://bit.ly/392v3Fk ทีมงานผู้จัดทำ SCB CIO Economics and Portfolio Strategy
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
คุณเกษรี อายุตตะกะ, CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
และทีมกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)