วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 21 ในเดือนกันยายน 2565 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองอุตสาหกรรมต่อการเปิดเสรีพลังงานทางเลือก” พบว่า จากผลกระทบของการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า งวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) เป็นต้น ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงานมากขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจากผลสำรวจ FTI Poll พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีแผนที่จะลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงานในทันที โดยมองว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซล่าเซลล์ เป็นแหล่งพลังงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาคอุตสาหกรรม และคาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประมาณ 25% ของการใช้พลังงานทั้งหมดของโรงงาน

ในส่วนของการเปิดเสรีพลังงานทางเลือก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า ภาครัฐควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบการขออนุมัติอนุญาตผลิตไฟฟ้าใช้เองให้สะดวกยิ่งขึ้น เปิดให้เอกชนสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับให้แก่ภาครัฐได้ รวมทั้งควรออกมาตรการแรงจูงใจให้เอกชนมีการลงทุนผลิตไฟฟ้าใช้เอง เพื่อลดภาระของภาครัฐในการบริหารจัดการไฟฟ้าและส่งเสริมให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 ของประเทศไทย  นอกจากนี้เพื่อรองรับการเปิดเสรีพลังงานทางเลือกในอนาคต ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมการลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน มีการจัดตั้งหน่วยงาน One stop service เพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุมัติอนุญาต รวมทั้ง บูรณาการปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้า ค่าบริการต่างๆ และค่าไฟฟ้า เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา และลดภาระผู้บริโภค ซึ่งผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดการณ์ว่า แนวโน้มความต้องการพลังงานของภาคอุตสาหกรรมในปี 2566 จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 10% จากปี 2565 อันเนื่องมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น และการส่งออกที่จะขยายตัวต่อเนื่อง

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 220 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก

45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 21 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
1.  ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียน คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการใช้พลังงานทั้งหมด (Single choice)
     อันดับที่ 1 : 25% 39.6%
     อันดับที่ 2 : ไม่จำเป็น 31.4%
     อันดับที่ 3 : 50% 19.5%
     อันดับที่ 4 : 75%  9.5%
2.  ภาคอุตสาหกรรมจะมีแผนในการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในเมื่อไหร่ (Single choice)
     อันดับที่ 1 : ทันที 34.1%
     อันดับที่ 2 : ภายใน 3 ปี 29.1%
     อันดับที่ 3 : ภายใน 1 ปี 23.6%
     อันดับที่ 4 : ภายใน 5 ปี 13.2%
3.  ประเภทพลังงานทางเลือกใดที่จะเหมาะสมนำมาใช้กับภาคอุตสาหกรรม (Multiple choices)
     อันดับที่ 1 : แสงอาทิตย์ 95.9%
     อันดับที่ 2 : ชีวมวล 28.2%
     อันดับที่ 3 : ก๊าซชีวภาพ 14.1%
     อันดับที่ 4 : พลังงานจากขยะ 13.6%
     อันดับที่ 5 : พลังงานลม   5.9%
4.  ปัจจัยใดจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายพลังงานทางเลือกได้อย่างเสรี (Multiple choices)
     อันดับที่ 1 : ปรับปรุงกฎระเบียบการขออนุญาตผลิตไฟฟ้าใช้เองและขายไฟฟ้ากลับ     78.6%
                     ให้แก่ภาครัฐให้สะดวก และเกิดแรงจูงใจในการลงทุน
     อันดับที่ 2 : ส่งเสริมให้เกิดตลาดซื้อขายพลังงานที่เอกชนสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม     65.0%
                     (Energy Trading) หรือแพลตฟอร์มซื้อขายไฟฟ้าเสรี
     อันดับที่ 3 : สนับสนุนเงินลงทุนในการใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy storage)      62.3%
                     เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าใช้เอง
     อันดับที่ 4 : ส่งเสริมและปรับขั้นตอนให้เอกชนสามารถลงทุนโรงไฟฟ้าได้สะดวก     59.5%
                     เพื่อให้เกิดการแข่งขัน
5.  ภาครัฐจะต้องปรับปรุงเรื่องใดเพื่อรองรับการเปิดเสรีพลังงานทางเลือก (Multiple choices)
     อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน     75.5%
     อันดับที่ 2 : จัดตั้งหน่วยงาน One stop service เพื่ออำนวยความสะดวก 60.5%
                     ในการขออนุญาตผลิตไฟฟ้าใช้เองและรับซื้อไฟฟ้าคืน
                     รวมทั้ง ปรับลดค่าใช้จ่ายในการขออนุญาต
     อันดับที่ 3 : บูรณาการปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้า 58.6%
                     ค่าบริการต่างๆ และค่าไฟฟ้า เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เกิดการแข่งขัน
                     ด้านราคาและลดภาระผู้บริโภค
     อันดับที่ 4 : ปลดล็อคเงื่อนไขการผลิตไฟฟ้าให้สามารถมีกำลังการผลิตได้เกิน 1 เมกะวัตต์ 58.6%
                     โดยที่ไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4)
6.  แนวโน้มความต้องการพลังงานของภาคอุตสาหกรรมในปี 2566 จะเป็นไปในทิศทางใด
(Single choice)
     อันดับที่ 1 : เพิ่มขึ้น 10% 47.3%
     อันดับที่ 2 : คงที่ 28.2%
     อันดับที่ 3 : เพิ่มขึ้น 20% 21.4%
     อันดับที่ 4 : ลดลง 10%   1.8%
     อันดับที่ 5 : ลดลง 20%   1.3%