กฟผ. เร่งเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตอบโจทย์คาร์บอนเป็นศูนย์ เน้นการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง พร้อมขับเคลื่อน กฟผ. สู่ผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่หลากหลาย 

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึงทิศทางการขับเคลื่อน กฟผ. เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา กฟผ. ก้าวสู่ปีที่ 54 ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ว่า ท่ามกลางวิกฤตพลังงานและทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ กฟผ. ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลรักษาความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของประเทศ จึงเร่งเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อพึ่งพาตนเองจากทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศ ลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาสูง ทำให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ไฟไม่ตกไม่ดับ แม้ในช่วงวิกฤตพลังงาน โดยมีโครงการหลักคือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเขื่อนของ กฟผ. หรือโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด ซึ่งเห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากโครงการนำร่องโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการท่องเที่ยว

กฟผ. จึงตั้งเป้าเร่งดำเนินโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดให้ครบ 2,725 เมกะวัตต์ ตามแผน PDP2018 Rev.1 ภายใน 5-10 ปี โดยในปี 2565 อยู่ระหว่างเดินหน้าโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น กำลังผลิต 24 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในปี 2566 รวมถึงยังมีแผนพัฒนาโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดพร้อมติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) ในโครงการเขื่อนคู่เฉลิมพระเกียรติฉลองพระชนมายุครบ 6 รอบ ในเขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีศักยภาพทั้งด้านปริมาณน้ำ พื้นที่การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ พื้นที่ติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) และระบบส่งไฟฟ้าร่วมกันที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 1,100 เมกะวัตต์ ช่วยในการบริหารจัดการไฟฟ้า ทำให้ระะบบไฟฟ้ามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน กฟผ. ได้พัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อให้สามารถนำพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าในภาพรวม ซึ่งในปี 2565 ตั้งเป้าขยายผลนำระบบพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ กฟผ. พัฒนาขึ้นจนมีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงไปติดตั้งภายในศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าตามเขตปฏิบัติการต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม 11 แห่ง ส่วนโครงการติดตั้ง BESS ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี และการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงดิจิทัลนำร่องจำนวน 2 แห่ง คือ สถานีไฟฟ้าแรงสูงกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และสถานีไฟฟ้าแรงสูงตราด จ.ตราด คาดว่าจะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้เช่นกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมและส่งจ่ายไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพและพัฒนาต่อยอดสู่นวัตกรรมโรงไฟฟ้าเสมือนในอนาคต

ในยุคสมัยใหม่ที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนมีความหลากหลายมากขึ้น กฟผ. ยังเร่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจร (Energy Solutions Provider) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เช่น

•  ธุรกิจ EGAT EV Business ปัจจุบัน กฟผ. ได้ขยายสถานี EleX by EGAT ทั้งแบบชาร์จเร็วและชาร์จธรรมดาในพื้นที่ต่าง ๆ จำนวน 49 สถานีทั่วประเทศ โดยภายในปีนี้ตั้งเป้าจะขยายสถานีให้ได้รวมกว่า 120 สถานี เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ นอกจากนี้ กฟผ. ยังร่วมกับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคศึกษาการรวบรวมสถานีชาร์จของแต่ละหน่วยงานให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อะศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและวางแผนบริหารจัดการความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดที่ตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้มีความครอบคลุมและลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

 

•  ธุรกิจจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เร่งจัดหาและนำเข้า LNG แบบตลาดจร เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยในช่วงวิกฤตพลังงานสามารถแบ่งเบาภาระประชาชนประมาณ 500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าร่วมทุนโครงการก่อสร้างคลังจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งที่ 2 ที่ ต.หนองแฟบ จ.ระยอง กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติในประเทศ สนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนพฤศจิกายน 2565

 

•  บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ลุยธุรกิจนวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีแห่งอนาคต (New S-curve) เช่น เทคโนโลยีการทำตลาดซื้อขายไฟฟ้า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต

 

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำภายใต้นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (EGAT Carbon Neutrality) ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการปลูกป่าล้านไร่อย่างมีส่วนร่วมที่ผนึกกำลังกับภาคีเครือข่ายตั้งเป้าปลูกป่า 1 ล้านไร่ ภายในระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2565 – 2574 ทั้งป่าต้นน้ำ ป่าบก และป่าชายเลน โดยในปี 2565 กฟผ. มีแผนลงพื้นที่ปลูกป่าในพื้นที่ต่าง ๆ การพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Enzy Platform) สำหรับติดตามและควบคุมการประหยัดพลังงานรายอาคาร ปัจจุบันนำร่องใช้งานในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มอุตสาหกรรม โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 มุ่งหวังให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

 

กฟผ. พร้อมเดินหน้าพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดควบคู่กับการสร้างสมดุลพลังงานภายใต้การดำเนินงานตามแนวคิด “EGAT for ALL : กฟผ. เป็นของคนไทยทุกคนและทำเพื่อทุกคน” โดยคำนึงถึงประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ เพื่อชูศักยภาพความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืนของประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นแต้มต่อสำคัญของประเทศไทยในการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนบนเวทีเศรษฐกิจการค้าโลกต่อไป