KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ผู้นำบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวเจ้าแรกในไทย เผยความสำเร็จเติบโตต่อเนื่อง โดยมีฐานลูกค้าโตขึ้นกว่า 10% จากปีก่อนหน้า ปัจจุบันให้บริการลูกค้ารวมกว่า 4,000 รายหรือประมาณ 790 ครอบครัว ครอบคลุมทรัพย์สินครอบครัว ทั้งธุรกิจและที่ดินกว่า 1.8 แสนล้านบาท* พร้อมยกระดับบริการ “สำนักงานครอบครัว” (Family Office) ขยายขอบเขตบริการจากการให้คำปรึกษาเพื่อจัดตั้งและจัดระบบสำนักงานครอบครัวสู่ผู้ช่วยดำเนินการกิจธุระของครอบครัว อาทิ งานด้านกฎหมาย งานจดทะเบียนบริษัท ฯลฯ ปั้นบริการสำนักงานครอบครัวครบวงจร เสริมแกร่ง “บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัว” (Family Wealth Planning Services) ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา กำหนดกติกาและเป้าหมาย วางแผนงาน ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทยนายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “ปัจจุบัน มีหลายปัจจัยกระตุ้นให้การบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัวไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งวิกฤตเงินเฟ้อ ความผันผวนของตลาดลงทุน ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลอดจนนโยบายการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่าง สรรพากรไทยและรัฐบาลสหรัฐฯ (FATCA) รวมถึงรัฐบาลชาติอื่นๆ ภายใต้ความตกลง Common Reporting Standard หรือ CRS ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ส่งผลให้ลูกค้ากลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูงเกิดความตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัวและต้องการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านภาษีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จำนวนสมาชิกในครอบครัวที่มีมากขึ้น จากเดิมที่เป็นการส่งต่อจากรุ่นที่ 1 ไปรุ่นที่ 2 ปัจจุบัน เป็นการส่งต่อจากรุ่นที่ 2 ไปรุ่นที่ 3 หรือจากรุ่นที่ 3 ไปรุ่นที่ 4 มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้การส่งต่อทรัพย์สินมีขั้นตอนและรายละเอียดที่มากขึ้นไปด้วย จากผลสำรวจโดย Lombard Odier พบว่ากว่า 52% ของเจ้าของธุรกิจครอบครัวไทยเริ่มกลับมาพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว แต่มีเพียง 37% เท่านั้นที่เริ่มลงมือวางแผนแล้ว ช่องวางตรงนี้ทำให้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวมีโอกาสดูแลลูกค้าในเรื่องนี้ได้มากขึ้นและเป็นการขยายขอบเขตการให้บริการตอบโจทย์ลูกค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นไปอีกด้วย”  พร้อมกันนี้ KBank Private Banking ยังได้ยกระดับ พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ “สำนักงานครอบครัว” (Family Office) ภายใต้ “บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัว” (Family Wealth Planning Service) โดยขยายขอบเขตการให้บริการจากการให้คำปรึกษาเพื่อจัดตั้งและจัดระบบสำนักงานครอบครัว สู่ผู้ช่วยดำเนินการกิจธุระของครอบครัวที่เน้นลงมือปฏิบัติภายใต้กรอบการให้บริการครอบคลุมทั้งหมด 6 ด้าน อันได้แก่ (1) งานจดทะเบียนที่ดิน (2) งานเอกสารกฎหมาย (3) งานจดทะเบียนบริษัท (4) งานติดตามทวงถามหนี้ (5) งานติดตามทรัพย์ (6) บริการจัดเก็บเอกสารสำคัญ

3 จุดเด่นของบริการ “สำนักงานครอบครัว” (Family Office) มีดังนี้

  • การจัดการแบบองค์รวม: ด้วยบริการที่ครบวงจรทำให้ลูกค้าเข้าใจภาพรวมของแผนงานทั้งหมด ทราบความเคลื่อนไหวในการทำงานแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน จึงสามารถกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนได้แม่นยำ
  • ความสะดวกและความต่อเนื่อง: ลูกค้าสามารถใช้บริการสำนักงานครอบครัวดำเนินการตามแผนได้ทันที ทำให้การบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสะดวกสบาย
  • ความเชื่อมั่น: ด้วยความร่วมมือจากสำนักงานกฎหมายแนวหน้าของประเทศ จึงมั่นใจได้ว่าบริการที่ลูกค้าจะได้รับนั้นจะมีมาตรฐานเดียวกับสำนักงานกฎหมายและสถาบันการเงินชั้นนำ

นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “เดิมบริการสำนักงานครอบครัว (Family Office) จะให้คำแนะนำในการจัดตั้งและดำเนินการของสำนักงานครอบครัวสำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะดำเนินการเอง โดยภายหลังทางธนาคารได้เล็งเห็นความต้องการผู้ช่วยในการดำเนินการจัดการกิจธุระของครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยการจัดตั้งสำนักงานครอบครับนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งไม่เหมาะกับลูกค้าที่มีครอบครัวขนาดเล็ก หรือลูกค้าที่มีเรื่องต้องจัดการทรัพย์สินครอบครัวเป็นครั้งคราว จึงได้ขยายขอบเขตในการให้บริการ ยกระดับสู่การเป็นผู้ช่วยในการดำเนินการเรื่องต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ตอบทุกโจทย์ความต้องการด้านทรัพย์สินครอบครัวได้อย่างครอบคลุมครบวงจร”  ปัจจุบันมีลูกค้าที่ไว้วางใจใช้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวกว่า 4,000 รายหรือประมาณ 790 ครอบครัวโดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 10 และมีทรัพย์สินครอบครัวภายใต้การบริหารงานกว่า 180,000 ล้านบาท* โดยธนาคารตั้งเป้าว่าจะให้บริการลูกค้าให้ครอบคลุม 40% ของลูกค้าทั้งหมด* ภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่ให้บริการลูกค้าแล้วประมาณ 36%