กรุงเทพฯ – 21 กรกฎาคม 2565: บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในประเทศ เผยถึงหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลา 61 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ การพัฒนาบุคลากร เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทั่วประเทศ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าชาวไทยผ่านเครือข่ายของผู้จำหน่ายกว่า 230 แห่งทั่วประเทศ การพัฒนาบุคลากรของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกอบด้วยการฝึกอบรมทักษะที่เข้มข้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้แก่พนักงานในเครือข่ายโดยผู้เชี่ยวชาญ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้า และสนับสนุนการพัฒนาทักษะของพนักงานผู้จำหน่ายผ่านการแข่งขันทักษะรถยนต์ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี  ทุก ๆ ปีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย (Mitsubishi Motors Education Academy) มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ใช้งบประมาณโดยเฉลี่ย 20 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะของพนักงาน  ผู้จำหน่าย โดยในปีที่ผ่านมามีการจัดการอบรมไปแล้วมากกว่า 700 หลักสูตร และมีผู้เข้ารับการอบรมมากกว่า 40,000 คน

มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ยังเน้นย้ำแผนการขยายธุรกิจภายในประเทศ โดยกล่าวว่า นอกจากการพัฒนาสมรรถนะและการอัปเกรดเทคโนโลยีของรถยนต์แล้ว บริษัทฯ จะยังคงพัฒนาบริการด้านการขาย และบริการหลังการขายเพื่อลูกค้าชาวไทยอย่างต่อเนื่อง “ความพึงพอใจของลูกค้าถือเป็นหัวใจหลักที่จะนำพาเราไปสู่การเติบโตทางธุรกิจและประสบความสำเร็จ การบริการอย่างมืออาชีพโดยพนักงานผู้จำหน่ายที่ได้รับการอบรมทักษะเปรียบเสมือนหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของเราเช่นเดียวกัน หากลูกค้าพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รถยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการขายและบริการหลังการขาย เราก็จะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จากกลยุทธ์หลักในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า เราต้องยกระดับความพึงพอใจในทุกจุดที่มีการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าให้ครบทุกด้าน เริ่มต้นจากการสื่อสารที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจรถยนต์ของเรา และนำมาสู่การเยี่ยมชมรถยนต์ ณ โชว์รูมเครือข่ายผู้จำหน่าย การนำเสนอรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน รวมถึงความพึงพอใจในด้านการขายและการบริการหลังการขาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถยนต์ของเรา และเรายังคงมุ่งมั่นสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าผ่านการให้บริการจากเครือข่ายผู้จำหน่ายกว่า 230 แห่งในทุกจังหวัดทั่วประเทศ” มร. โคอิโตะ กล่าวเสริม

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดการแข่งขันทักษะรถยนต์ ครั้งที่ 21 เพื่อยกระดับความสามารถด้านเทคนิคและการบริการของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมมุ่งมั่นส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าชาวไทย

เพื่อดูแลลูกค้าของเราที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศที่เราจัดจำหน่ายรถยนต์ไปทั่วโลก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองโตเกียว ได้มองเห็นศักยภาพของสถาบันการศึกษาฯ ของประเทศไทย จึงได้ให้ประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาความรู้และทักษะให้กับพนักงานผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในภูมิภาคอาเซียน อาทิ เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยสำนักงานใหญ่ได้ทำการรับรองครูผู้สอนชาวไทยในการฝึกอบรมบุคลากรจากผู้จำหน่ายในต่างประเทศอีกด้วย  หลากหลายแนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันดีถูกนำมาประยุกตใช้ในการออกแบบการเรียนการสอน และประเมินผลการฝึกอบรมที่สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนยังถูกปรับตามรูปแบบ ADDIE Model ซึ่งเป็นหลักการออกแบบกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาอย่างเป็นระบบที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก อีกทั้งสถาบันการศึกษาฯ ยังได้นำแนวคิดไคเซ็น (Kaizen) ปรัชญาการพัฒนาธุรกิจจากญี่ปุ่นซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” มาปรับใช้อีกด้วย

นอกจากการพัฒนาบุคลากรผ่านการฝึกอบรมแล้ว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังจัดการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเพิ่มพูนความสามารถของพนักงานจากเครือข่ายผู้จำหน่ายของบริษัทฯ โดยการแข่งขันในปีนี้ครอบคลุม 4 ประเภทสายงานบริการ ได้แก่ ที่ปรึกษาการขาย ที่ปรึกษางานบริการ ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา ช่างเทคนิคซ่อมบำรุงตามระยะ และมีผู้เข้าแข่งขันมากกว่า 5,000 คนจากทั่วประเทศ จากการแข่งขันล่าสุด มีผู้ชนะ 12 คน หรือ 3 คนจากแต่ละสายงานบริการได้รับถ้วยรางวัล โดยผู้ชนะจากสาขาที่ปรึกษางานบริการ ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา จะได้เป็นผู้แทนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะด้านการบริการระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้จัดการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิมาแล้วมากกว่าสองทศวรรษ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาบุคลากรฝ่ายขายและศูนย์บริการ เพื่อสร้างแรงจูงใจและพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรมิตซูบิชิในการให้บริการลูกค้าของมิตซูบิชิที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากการให้บริการอย่างโดดเด่นแก่ลูกค้าผ่านพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีแล้ว เรายังนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และการสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ผ่านจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของเราอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด ‘Mitsubishi Motor-Ness’ อันได้แก่ ความปลอดภัย ความมั่นใจ และความสะดวกสบาย ในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยผลิตภัณฑ์รถยนต์ของเราได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากดีเอ็นเอของแชมป์แรลลี่ผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ขับขี่รถยนต์ของเรา” มร. โคอิโตะ กล่าว

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ปลูกฝังการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพทั้งในด้านการขายและบริการหลังการขาย ซึ่งได้รับการ   การันตีและยอมรับผ่านรางวัลความพึงพอใจสูงสุดทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย จากรางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยมประจำปี หรือ TAQA Award โดยผลการวิจัยล่าสุดของ TAQA เปิดเผยว่า เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล และรถกระบะขนาด 1 ตันในไทยยังคงชื่นชอบบริการด้านการขายของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โดยคะแนนความพึงพอใจด้านบริการงานขายรถใหม่ หรือ SSI (Sales Satisfaction Index) ประจำปี 2564 รวมแล้วอยู่ที่ 954 คะแนน สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล และคะแนนรวม 971 คะแนนสำหรับ รถกระบะขนาด 1 ตัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนระดับอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 920 และ 930 คะแนน นอกจากนี้ ผลการสำรวจของ Initial Quality Study (IQS) ยังพบว่า มิตซูบิชิ เอ็กแพนเดอร์, มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต, มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ และ ซิงเกิ้ล แค็บ ยังได้รับการจัดอันดับสูงสุด โดยผลการสำรวจมาจากจำนวนปัญหาที่พบในช่วง 90 วันแรกของการซื้อรถยนต์  มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ขึ้นในเดือนมิถุนายน 2561 บนพื้นที่ 11 ไร่ ในจังหวัดปทุมธานี สถาบันการศึกษาฯ แห่งนี้มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่อให้ความรู้แก่พนักงานในเครือ โดยเน้นการอบรมเพื่อพัฒนาด้านการขาย และการบริการหลังการขาย สถาบันการศึกษาฯ มีโครงการพัฒนาบุคลากรหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมที่ปรึกษาการขาย ที่ปรึกษางานบริการ ช่างเทคนิค เจ้าหน้าที่อะไหล่ เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ และอื่น ๆ โดยบริษัทฯ ใช้งบประมาณกว่า 120 ล้านบาทในการก่อสร้าง