ILM แจงผลงานไตรมาส 3/2563 สุดแกร่ง กำไรสุทธิโตกว่า 9 เท่า เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แตะ 145.6 ล้านบาท รายได้รวมเกือบ 2,000 ล้านบาท ฟื้นตัวชัดเจนตามการเติบโตของยอดขายและค่าเช่า หลังสาขากลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติเต็มไตรมาส อัตรากำไรทำสถิติสูงสุด หลังเดินเกมคุมเข้มต้นทุน-ปรับกลยุทธ์การขาย-เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่สภาพคล่องยังแกร่ง ทั้งจ่ายเงินปันผล และจ่ายคืนหนี้เงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนดนับจากต้นปีประมาณ 1,000 ล้านบาท ผู้บริหารคาดแนวโน้มโค้งสุดท้ายของปีสดใส รับอานิสงส์มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กระตุ้นกำลังซื้อ หนุนภาพรวมผลการดำเนินงานฟื้นตัวต่อเนื่อง

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรในประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินการไตรมาส 3/2563 ว่า ภาพรวมฟื้นตัวโดดเด่น เมื่อเทียบจากไตรมาส 2/2563 ที่ถือเป็นจุดต่ำสุด หลังหน่วยงานภาครัฐประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 145.6 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 9 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามการเติบโตของรายได้รวมที่ 1,989.8 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รับอานิสงส์กำลังซื้อภายในประเทศเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,069.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 278.2 ล้านบาทบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM

ในไตรมาส 3/2563 บริษัทฯ สามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) แตะสถิติสูงสุด โดยอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอยู่ที่ 49.9% หลังดำเนินการปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปรับ Product Mix เพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ให้สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค New Normal ควบคู่ไปกับการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่อัตรากำไรสุทธิแตะระดับสูงสุดที่ 7.3% หลังบริษัทฯ เดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

นางสาวกฤษชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ในสถานการณ์ยากลำบาก บริษัทฯ สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างแข็งแกร่ง ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวสถาบันการเงินนับจากต้นปีรวม 1,367 ล้านบาท โดยเป็นการชำระคืนก่อนกำหนด 998 ล้านบาท รวมถึงเดินหน้าจ่ายเงินปันผล 232.3 ล้านบาท สำหรับรอบผลประกอบการปี 2562 และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 75.8 ล้านบาท สำหรับงวดการดำเนินงาน 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งได้จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นแล้วเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563

สำหรับแนวโน้มโค้งสุดท้ายของปี 2563 บริษัทฯ คาดการณ์ว่า มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ และช่วยผลักดันยอดขายและภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯ ให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเดินหน้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูง ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ และบริหารจัดการซัพพลายเชนในการมุ่งลดปริมาณสินค้าคงเหลือต่อไปในอนาคต เพื่อรักษาขีดความสามารถการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูงอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะสามารถเห็นผลประกอบการของบริษัทฯ กลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่น นางสาวกฤษชนกกล่าว