เมื่อวันนี้ (4 ก.ค.63) เวลา 13.00 น. ที่ผ่านมา นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบรรพชาอุปสมบทราษฎรบนพื้นที่สูง ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 135 รูป เพื่อถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสุทธิ จันทรวงษ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. รวมทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงาน ณ วัดศรีโสดา พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่

นายจุติ กล่าวว่า “โครงการพระธรรมจาริก” เป็นโครงการที่กรมประชาสงเคราะห์ หรือปัจจุบันเรียก กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดำเนินงานร่วมกับคณะพระธรรมจาริก และมูลนิธิเผยแผีพระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ราษฎรบนพื้นที่สูง เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งทางด้านจิตใจและการศึกษา อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในความเป็นไทยให้ราษฎรบนพื้นที่สูงเกิดความสำนึกในความเป็นไทย และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งปัจจุบัน โครงการพระธรรมจาริก มีสำนักงาน 2 แห่ง ประกอบด้วย 1) สำนักงานประธานคณะพระธรรมจาริก ตั้งอยู่ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร และ 2) สำนักงานพระธรรมจาริกส่วนภูมิภาค วัดศรีโสดา พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่

นาย จุติ กล่าวต่ออีกว่า ตลอดระยะเวลากว่า 55 ปี โครงการพระธรรมจาริกได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในการถวายปัจจัย เครื่องอุปโภคบริโภค และอุปถัมภ์สนับสนุนการพัฒนางานพระธรรมจาริก ซึ่งขณะนี้ มีผู้ที่ผ่านการบรรพชาอุปสมบท จำนวนทั้งสิ้น 11,416 รูป ยังครองสมณเพศเป็นพระธรรมจาริกจำนวน 777 รูป แบ่งเป็น พระภิกษุ 337 รูป สามเณร 440 รูป สำหรับปี พ.ศ. 2563 มีผู้เข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทหมู่ราษฎรบนพื้นที่สูงจำนวนทั้งสิ้น 135 รูป จาก 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน เชียงราย ลำพูน ลำปาง กำแพงเพชร สุโขทัย พะเยา และอุทัยธานี เพื่อถวายพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ หลังจากที่บรรพชาอุปสมบทแล้ว จะเข้ารับการศึกษาพระธรรมวินัย และวิชาการต่าง ๆ ทั้งสายปริยัติธรรมและสายสามัญ และเมื่อจบการศึกษาแล้ว หากอยู่ในสมณเพศจะออกปฏิบัติงานเผยแพร่พระพุทธศาสนาร่วมกับพระธรรมจาริก ส่วนผู้ที่ลาสิกขาบทจะได้นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ศึกษาต่อ ประกอบอาชีพ และทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัว ชุมชนต่อไป

นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเป็นสื่อกลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ราษฎรบนพื้นที่สูงของคณะพระธรรมจาริก แม้ความห่างไกลจะเป็นอุปสรรค แต่ศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา และการเจริญศาสนกิจของของคณะพระธรรมจาริก จะนำพาชีวิตราษฎรบนพื้นที่สูง รวมทั้งครอบครัวและชุมชน ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานความมั่นคงทางจิตใจที่ดีต่อไป