ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เผยว่า การเคหะแห่งชาติตอบสนองนโยบายรัฐบาล
ที่ต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความมั่นคงในชีวิตด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) รวมถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP) 3 รูปแบบ ได้แก่ โครงการร่วมลงทุนกับเอกชน (Joint Investment) ซึ่งมีโครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (หนองหอย) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทบทวนและเพิ่มเติมรายละเอียดในเรื่องความเป็นไปได้ของโครงการ รวมถึงวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้กับภาคเอกชน พร้อมเตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) โดยคาดว่าจะนำเสนอต่อบอร์ด PPP ให้พิจารณาได้อีกครั้งภายในเดือนหน้า พร้อมเดินหน้าผลักดันโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนในอีก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 3 – 4 และโครงการร่มเกล้า ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจก่อนนำเสนอให้บอร์ด PPP พิจารณาต่อไป รวมถึงอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการปทุมธานี (ลำลูกกา) และโครงการสมุทรปราการ (บางพลี) ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ คาดว่าอีกไม่เกิน 6 เดือน จะได้ข้อสรุปก่อนจะนำเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้พิจารณาต่อไป
ส่วนโครงการร่วมดำเนินกิจการระหว่างภาครัฐและเอกชน (Joint Operation) ได้มีการอนุมัติการดำเนินโครงการไปแล้ว 8 โครงการ ปัจจุบันยังติดขั้นตอนทางกฎหมายบางประการอยู่ ซึ่งต้องรอการตีความ โดยการเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการจัดทำ TOR ควบคู่กันไปด้วยระหว่างรอการตีความ และโครงการร่วมสนับสนุนภาคเอกชน (Joint Support) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมจำนวน 10 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการในลักษณะ Mix use หากดำเนินการไปตามกระบวนการเรียบร้อยแล้วจะถือเป็นโครงการต้นแบบที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการที่จะมาเข้าร่วมโครงการ PPP กับการเคหะแห่งชาติในอนาคต
“โครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของการเคหะแห่งชาติถือว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงที่จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าได้ ซึ่งถ้าโครงการ PPP ผ่านการพิจารณาให้ดำเนินการได้จะมีมูลค่าโดยประมาณกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างแน่นอน” ดร.ธัชพล กล่าวเพิ่มเติม